《เรื่องราวของชาสุก》---การเปลี่ยนแปลงทางกรอบความคิด เทคโนโลยีและสุนทรียภาพ
| ตอนที่ 1 : รุ่นก่อนหน้าของชาสุก
ชาสุกเป็นผลิตภัณฑ์แค่ในช่วงไม่กี่ปีมานี่เอง ใช่หรือไม่?
คนโบราณไม่ดื่มชาสุก ใช่หรือไม่?
มีคนพูดว่าชาสุกก่อเกิดขึ้นมาหลังปี 1973 จึงไม่มีประวัติศาสตร์ ใช่หรือไม่?
ไม่ใช่! คนโบราณในความเป็นจริงดื่มชาหมักมาตลอด ซึ่งใกล้เคียงกับหลักการทำชาสุกในทุกวันนี้ ในนี้มีบางร่องรอยยังธำรงไว้สืบต่อมาอย่างต่อเนื่อง ยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน
ลองคิดเล่นๆว่า
มนุษย์ได้ริเริ่มใช้ชาใบไม้ใบนี้อย่างไร?
1) ลิงกินใบสดโดยตรง สามารถใช้ใบชาได้ผลในการฆ่าเชื้อรักษาสุขภาพ
ใน《เสินหนงเปิ่นเฉ่าจิง/神农本草经》: “เสินหนงชิมพืชพรรณร้อยชนิด ได้รับพิษเข้าไปถึงเจ็ดสิบสองอย่าง เมื่อได้ชิมชาจึงสลายพิษมลายไป”
นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ Alan Macfarlane ในหนังสือ《Green GOLD》ได้หยิบยกคำพูดหนึ่งว่า : “อังกฤษเป็นเพราะมีอุปนิสัยและนิยมในการดื่มชา เป็นการแก้ปัญหาความปลอดภัยในการบริโภคน้ำได้โดยตรง ต่อจากนั้นเศรษฐกิจก็ค่อยๆเจริญก้าวหน้า นำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 กลายเป็นจักรวรรดิยุคแรก”
2) คาแฟอีนในใบชาทำให้ร่างกายเกิดการตื่นตัวและลดความง่วงได้
ลู่อวี่/陆羽 สมัยราชวงศ์ถังผู้รวบรวมเขียน《คัมภีร์ขา/茶经》ได้บ่งชี้ถึงคุณประโยชน์ที่สำคัญของชาอยู่ที่ “เพื่อความกระปรี้กระเปร่าและไม่ง่วง จึงต้องมาดื่มชา/荡昏寐,饮之以茶。”
เนื่องจากการธำรงไว้ซึ่งการตื่นตัวและการแสวงหาจิตวิญญาณมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ชาและกิจกรรมทางความคิดมีความเชื่อมโยงกัน ก่อเกิดเป็นชาปัญญาชนของจีน แล้วแตกออกมาเป็นวิถีชาญี่ปุ่น
3) ใบสดที่กินไม่ทันสามารถรวบรวมขึ้นมา นำมันไปฝังไว้ในดิน จะเกิดการหมักขึ้นโดยไม่ตั้งใจ กลายเป็นเมี่ยงชา ฤทธิ์กระตุ้นของเมี่ยงชาต่ำกว่าใบสด กินแล้วเป็นการเพิ่มเส้นใยอาหาร ปรับสมดุลของลำใส้ให้แข็งแรง
Marie-Claire Frederic ในหนังสือ《ไม่ดิบไม่สุก》ได้กล่าวว่า : “ก่อนที่มนุษย์จะเริ่มหัดใช้ไฟ ก็ได้เรียนรู้การหมักแล้ว”
คุณคิดว่าแรกสุดมนุษย์ใช้ชาในภาวะการณ์แบบไหน? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร การใช้ชาบน 3 เส้นทางนี้ แต่ละเส้นทางล้วนพัฒนาวัฒนธรรมชาออกมาอย่างเหลือหลาย
ชาสุกในทุกวันนี้ แรกสุดมาจากการพัฒนาบนเส้นทาง “การหมัก-เส้นใยอาหารเสริม”
พื้นที่แถบทางตะวันตกเฉียงใต้จีน ไทยลาวพม่า และเขตอัสสัมอินเดียในทุกวันนี้ ตั้งแต่โบราณกาลมีการหมักชาแบบดั้งเดิม บนมือของชนเผ่าไตและชนเผ่าจิ่งพัวในเขตปกครองตนเองเต๋อหงอวิ๋นหนาน พวกเราสามารถพบเห็น “เมี่ยงชา” ที่หมักพิเศษเฉพาะ
ใบชาสามารถใช้เป็นเส้นใยอาหารเสริม ในเขตพื้นที่ปศุสัตว์ที่ขาดแคลนพืชผัก โดยเฉพาะบนที่ราบสูงที่มีหิมะจะมีผลอย่างมาก เป็นไปตามการเผยแพร่ใบชา ชนชาวธิเบตบนที่ราบสูงธิเบตก็ค่อยๆหลีกหนีไม่พ้นจาการหล่อเลี้ยงของใบชา
จากการค้นพบทางโบราณคดี เมื่อ 1800 ปีก่อน ในเขตพื้นที่ธิเบตได้เริ่มมีการใช้ชาแล้ว ฉาหมากู่ต้าวก็เกิดขึ้นตามมา ตราบจนถึงทุกวันนี้ ในทุกปีอวิ๋นหนานต้องลำเลียงขนส่งชาหมักไปธิเบตเป็นจำนวนมาก
มีสุภาษิตธิเบตกล่าวว่า : “ยอมขาดอาหารได้สามวัน ไม่ยอดขาดชาเพียงวันเดียว” “ขาดชาวันเดียวท้องเสีย ขาดชาสามวันไข้จับ” “ชาคือเลือด ชาคือเนื้อ ชาคือชีวิต”
ในวัฒนธรรมทางตอนใต้ของจีนจะคุ้นเคยกับการดื่มชาน้ำแดง(红汤茶)มาตลอด การฟื้นฟูของวัฒนธรรมชาผูเอ่อร์ คนจีนในฮ่องกง หนานหยาง(南洋/เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนที่ติดทะเล)เป็นต้นจะมีนิสัยในการชิมดื่มและมีการระลึกถึงชาน้ำแดงมิเสื่อมคลาย
ในใจของคนฮ่องกงชาน้ำแดงที่ดีที่สุด ก็คือชาผูเอ่อร์อวิ๋นหนาน
ชาสุกไม่มีประวัติศาสตร์จริงหรือ? ไม่จริง เพียงแต่ช่วงเวลานั้นยังไม่เรียกเป็นชาสุกต่างหาก พวกเราเรียกมันว่า : ชาหมัก/发酵茶
มันไม่มีประวัติศาสตร์หรือ? นี่ก็เป็นเพียงความใจแคบของคนยุคปัจจุบัน
คนโบราณมีรายละเอียดในการดำรงชีวิตอีกมากที่คุ้มค่าในการอ้างอิง ยังต้องการให้พวกเราเก็บตกอย่างช้าๆ
เอกสารอ้างอิง :
熟茶的故事 : 观念 , 技术与审美的变迁|第一阶段 : 熟茶的前世 : https://m.ipucha.com/show-167-6268.html