วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568

การย้อนแย้งของอุตสาหกรรมชา (3/3)

 



∆ แผนภาพ#10

        ไม่ว่าบุคคลใดๆมิใช่ผ่านการเสียเวลาและกำลังกายแบบง่ายๆแล้วสามารถสืบเสาะสู่เบื้องบนได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในสังคมพวกเราจะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ที่มีการตระหนักรับรู้ในขั้นสูง


        ทุกคนดูเสมือนว่าจะเห็นด้วยกับ​"พีระมิดลักษณะสามเหลี่ยมมุมฉาก" ส่วนของยอดพีระมิดจะมีผู้คนจำนวนเล็กน้อย แต่ความเป็นจริงจะมีพื้นที่ที่มีลักษณะบิดเบี้ยวอยู่ในนั้น อาจมีผู้คนจำนวนมากดื่มชามาทั้งชีวิต เสียเวลาและกำลังกายอย่างมากไปฝึกฝน แต่แนวความคิดและรูปแบบของพวกเค้าไม่ถูกต้อง ดื่มโดยไม่สามารถดื่มใบชาลักษณะแบบเบื้องบนได้

        ดังนั้น ไม่ว่าเค้าจะเสียเวลาและกำลังกาย(อาจรวมทั้งกำลังทรัพย์)มากมาย แต่เค้าก็เพียงแค่หยุดอยู่ที่เบื้องล่างของเส้นแบ่งนี้


∆ แผนภาพ#11

        มากล่าวถึงการกระจายตัวของกลุ่มคนดื่มชา เป็นไปได้ว่าเวลานี้มันเข้าใกล้บริบทที่เป็น​"สามเหลี่ยมลักษณะเว้าเข้าไป" ยังมีผู้คนจำนวนมากรวมศูนย์อยู่ที่เบื้องล่างของเส้นแบ่งนี้ มีผู้คนเพียงเล็กน้อยที่สามารถสืบเสาะสู่เบื้องบน


        นี้จึงเป็นเหตุผลที่ผู้มีอำนาจทางกระแสหลักปัจจุบันก็ได้เพียงแค่ให้บริการแก่ผู้คนที่มีจำนวนมากกว่า การดำรงอยู่ของคนส่วนน้อย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมวาทกรรมเชิงอำนาจได้ ไม่มีอิทธิพล และก็ไม่มีช่องทางที่ป่าวร้องได้ ถึงแม้จะป่าวร้องออกมาได้ แต่ก็จะถูกเข้าใจเป็นอภิปรัชญาและขอบเขต ไม่เป็นที่ยอมรับและตอบรับ


∆ แผนภาพ#12

        แผนภาพสุดท้ายนี้ ขอนิยามว่าเป็น“การย้อนแย้งของอุตสาหกรรมชา


       ทำไมถึงกล่าวว่ามันย้อนแย้ง ก็เนื่องจากความรู้ชาร่วมสมัยได้แค่บ่งบอกคุณว่า : การดื่มชาก็คือเครื่องดื่มที่มีรสชาติชนิดหนึ่ง เป็นเพราะมันมีองค์ประกอบของสารประกอบที่สอดคล้องกัน ซึ่งมีคุณลักษณะที่สามารถนำพาสุขภาพที่ดีต่อร่างกายเรา แต่มันไม่สามารถอธิบายได้ถึงการปลูกฝังตนเองที่ชานำพามาให้พวกเรา กระทั่งการตระหนักรับรู้ของลำดับขั้น“พิธีการชา”


       “ความรู้สึกทางสรีระ”ในนี้ก็คือการแสดงออกของลำดับขั้น“ร่างกาย” เป็นการแสวงหาของการดื่มชาในลำดับขั้นของร่างกายคนเรา เบื้องล่างใต้เส้นแบ่งเป็นเพียงความต้องการทางอาหาร 

      และแล้วในพื้นที่ของ“เบิกบานใจ” ก็จะมาถึงการสาธยายของลำดับขั้น“จิตใจ ” 

      คุณคิดที่จะอธิบาย“การปลูกฝังตนเอง”จากการดื่มชานั้น คุณไม่สามารถอธิบายการแสดงของลำดับขั้น“จิตวิญญาณ” เมื่อคุณอยู่ในขั้นตอน“โดยธรรมชาติ”นี้ล้วนเป็นสิ่ง์ที่ไม่น่าเป็นไปได้เสมอ


      ทำไมถึงกล่าวอยู่ตลอดเวลาว่า การดื่มชาคือเครื่องดื่มเชิงจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง มันไม่เพียงสร้างความพึงใจต่อความต้องการทางอาหารของคนเรา เป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติ เกิดผลที่ดีต่อสุขภาพคนเรา ทุกสิ่งอย่างก็เพื่อจุดหมายปลายทางสุดท้ายที่ได้มาโดยบังเอิญก็คือ“โดยธรรมชาติ”

 

      เมื่อคุณสามารถเข้าใจองค์รวมของแผนภาพนี้แล้ว ทำไมถึงเรียกขานมันว่า“การย้อนแย้งของอุตสาหกรรมชา”ร่วมสมัย และโดยการยกหนึ่งอย่างให้สามอย่าง

      สามารถที่จะกล่าวได้ว่า มี“อุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม”จำนวนมาก ล้วนประสบกับปัญหาเช่นนี้ 


      ทุกคนเคยสังเกตเห็นไหมว่า ขอเพียงเป็นสิ่งที่มีคุณลักษณะเชิงวัฒนธรรมรูปแบบจีนดั้งเดิม อาทิเช่น  : 

         - การเขียนอักษรวิจิตร

         - จิตกรรม

         - ดนตรี 

         - การแพทย์แผนจีน (โดยเฉพาะ)

      พวกมันล้วนต้องผ่านแผนภาพลักษณะนี้ ใช้ชุดแนวความคิดเช่นนี้ โดยการนำเสนอเส้นแบ่งลักษณะนี้ แล้วมาใช้อธิบาย“อุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม”ที่ประสบปัญหาเชิงย้อนแย้ง



เอกสารอ้างอิง:

1. 茶产业的矛盾http://xhslink.com/o/4U2nyr8TWHc

การย้อนแย้งของอุตสาหกรรมชา (2/3)

 



 

∆ แผนภาพ#7

        มาถึงตรงจุดนี้ พวกเราควรที่ไปทำความเข้าใจถึงการทำการแบ่งแยกของเส้นแบ่งสีแดงนี้ว่า ภายใต้สไตล์ของสองแนวความคิดนี้ ทำไมลำดับขั้นของการดื่มชาที่สอดคล้องกันนั้นอยู่ในอาณาเขตที่ไม่เหมือนกัน

        ขอกล่าวดังนี้ว่า ส่วนที่อยู่ในอาณาเขตล่าง สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างมากคือทฤษฎีมองพัฒนาการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน ส่วนอาณาเขตบนของเส้นนี้มิใช่เกี่ยวกับอภิปรัชญา แต่ต้องใช้การคิดเชิงตรรกะของปรัชญามาทำความเข้าใจมัน

        ส่วนการสอดคล้องที่เทียบเคียงกัน ทุกคนค้นพบไหมว่า ความรู้ชาดั้งเดิมที่แท้จริงของจีน เวลานี้มันเลื่อนมาประจำอยู่ในอาณาเขตบน มันคือ“สไตล์จีน” ส่วนความรู้ชาร่วมสมัยที่เลื่อนมาประจำอยู่ในอาณาเขตล่าง มันคือ“สไตล์ตะวันตก”โดยการเทียบเคียง


        ดังนั้น นี้มิใช่แค่เป็นเส้นแบ่งของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับตะวันตก ขณะเดียวกันภายใต้ทฤษฎีมองพัฒนาการอย่างเป็นวิทยาสาสตร์ของทางตะวันตก และผลงานจากการศึกษาวิจัยบรรดามีในปัจจุบัน จะมีจุดที่ย้อนแย้งกับความรู้ชาดั้งเดิมชองจีน

        ดังนั้น เส้นแบ่งนี้มิใช่เพียงเป็นตัวแทนของมาตรฐานที่ต่อเนื่องจากพัฒนาการทางวิทยาสาสตร์ยุคปัจจุบัน

        เดินขึ้นบนจากเส้นแบ่งนี้ โดยใช้มุมมองทางวิทยาศาสตร์ มุมมองทางระบบความรู้ชา แล้วก็จะค่อยๆสามารถถอดรหัสของ“ความรู้สึกทางสรีระ” แปลความหมายของ“เบิกบานใจ” ตีความของกระบวนการ“พิธีการชา” มันจึงสามารถถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ใช่หรือไม่?


        นี้ก็ถือเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษคนจีนโบราณ ภายใต้การพิจารนาทางความคิดเชิง“ปรัชญา”รูปแบบ“สไตล์จีน”นี้ ไปทำการศึกษาสู่เบื้องบน :  

         - ศึกษาโลกธรรมชาติ

         - ศึกษาการเปลี่ยนแปลงสี่ฤดูกาล

         - ศึกษากลุ่มดาวจักรราศี 

         - ศึกษากฏความเป็นระเบียบ 

         - ศึกษาปรากฏการณ์ของลำดับขั้นอันกว้างใหญ่ไพศาล


        ส่วน“วิทยาศาสตร์”ร่วมสมัยรูปแบบ“สไตล์ตะวันตก”นี้ เป็นกระบวนการศึกษาและการแยกแยะอย่างต่อเนื่องสู่เบื้องล่าง : 

         - ศึกษาเซลลของสิ่งมีชีวิต

         - ศึกษาโมเลกุล

         - ศึกษาโปรตอน 

         - ศึกษาอนุภาคมูลฐาน


        ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความเป็นจริงของทิศทางการศึกษาของวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย คือการไปค้นพบรูปแบบผลกระทำของสสารที่ยิ่งเล็ก เพื่อมาถอดรหัสสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ดังเช่น รูปแบบวิวัฒนาการของวัตถุท้องฟ้า กฏเกณฑ์ธรรมชาติ 


        ดังนั้น จึงเรียกขานเส้นนี้เป็น“เพดาน”ของวิทยาสาสตร์ร่วมสมัย มิใช่เป็นการนิยามอย่างไร้เหตุผล บรรพบุรุษคนจีนโบราณได้ให้ข้อสรุปของโลกธรรมชาติบางส่วนไว้ให้แก่พวกเราแล้ว มิใช่นำมาด้อยค่าและเหยียบย่ำความยังไม่สมบูรณของวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย


∆ แผนภาพ#8

        แล้วมาถึงตรงจุดนี้  ที่รูปแบบทางความคิดที่แท้จริงของบรรพบุรุษคนจีนโบราณก็คือ “วิถี”;“วิธี”;“เทคนิค”;“เครื่องมือ


        เนื่องจากวิทยาสาสตร์ร่วมสมัยอธิบายเนื้อหาที่อยู่เบื้องบนของเส้นแบ่งนี้ไม่ได้ จึงไม่ยอมรับ“วิถี”กับ“วิธี”ที่บรรพบุรุษคนจีนโบราณและอารยธรรมใบชาจีนได้หลงเหลือให้แก่พวกเราแล้วไซร์ งั้นในลำดับขั้น“เทคนิค”กับ“เครื่องมือ”ก็จะไม่สามารถทะลุเส้นแบ่งนี้ได้ตลอดไป


        รวมทั้งเพื่อนๆทุกคนที่กำลังเรียนรู้ชา ชื่นชอบชา ศึกษาชา ความเป็นจริงคุณยอมรับจิตวิญญาณแห่ง“พิธีการชา”อย่างเด่นชัด ที่ชานำพาคุณสู่การสืบเสาะหาและมีประสบการณ์ส่วนตัวในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป

         มันดำรงอยู่ เพียงแต่คุณได้หยุดอยู่ภายใต้โครงสร้างทางความคิดและผลงานมืออาชีพของอาณาเขตความรู้ชาร่วมสมัย เส้นแบ่งนี้ก็เป็นคอขวดของคุณ คุณก็เพียงนำเนื้อหาเบื้องบนไปเป็น“ขอบเขต”ตลอดไป


∆ แผนภาพ#9

        ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะมาเสียเวลามากน้อยแค่ไหน ผลจากการฝึกฝนและการศึกษาของคุณก็เป็นได้แค่กระบวนการในลักษณะ“เส้นโค้งสีฟ้า” มันอยู่ในพื้นที่ที่เข้าใกล้“เพดาน”อย่างไม่จำกัด แต่ไม่สามารถแตะสัมผัสได้ถึงตลอดไป

        “เส้นโค้งสีฟ้า”นี้ เราเรียกขานกันว่า“เส้นทางความรู้ชาร่วมสมัย” 


        เมื่อคุณไม่เพียงถูกจำกัดโดยระเบียบวิธีของวิทยาศาสตร์บรรดามีในปัจจุบัน หากคุณมีแนวความคิดที่หยั่งรู้ต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษคนจีนโบราณแล้วไซร์ คุณก็มีความเข้าใจต่อวัฒนธรรมการดื่มชาสไตล์จีนที่แท้จริง เส้นทางของการฝึกฝน ก็จะเป็นกระบวนการในลักษณะ“เส้นโค้งสีเขียว

        “เส้นโค้งสีเขียว”นี้ เราเรียกขานกันว่า“การปลูกฝังความรู้ชาดั้งเดิม


        ดังนั้นมาถึงจุดตรงนี้ ทุกคนสามารถตรวจสอบตนเองสักครู่ว่า คุณอยู่บนลำดับขั้นไหนของเส้นโค้งไหน


        มาตรฐาน สุนทรียภาพ และผลิตภัณฑ์ใบชาของระบบความรู้ชาที่มีอยู่ในปัจจุบัน พวกมันสามารถนำเสนอให้คุณเพียงแค่หยุดอยู่ที่ลำดับขั้นในเบื้องล่างของเส้นแบ่งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถพรรณนา


        หากคุณสามารถดื่มผลิตภัณฑ์ใบชาแบบดั้งเดิมอย่างที่บรรพบุรุษคนจีนโบราณได้ดื่ม ใช้แนวความคิดที่สอดคล้องกับพวกเค้า ใช้ความสุนทรียภาพอย่างพวกเค้า แล้วไปพินิจพิเคราะห์เรื่องราวเหล่านี้ สองสิ่งนี้เชื่อมรวมตัวกัน คุณจึงจะมีพื้นฐานของ“การปลูกฝังความรู้ชาดั้งเดิม”ที่สอดคล้องกัน


        ดังนั้น มีสิ่งของมากมายที่มิใช่เสียเวลา กำลังกาย และมีความปราดเปรื่องแล้วสามารถเอื้อมถึงได้ พวกเราก็มิใช่ว่ามีจุดแข็งในบางด้าน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของวัสดุศาสตร์และแนวความคิด ภายใต้สองสิ่งนี้ประจบรวมกัน คุณจึงจะสามารถได้รับผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน


        แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ มีจุดที่ค่อนข้างติดขัด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใบชา ระบบทางวิชาการ และสุทรียภาพที่เป็นกระแสหลักในปัจจุบัน ไม่สามารถนำเสนอพื้นฐานของการสืบเสาะสู่เบื้องบนให้แก่คุณได้



เอกสารอ้างอิง:

1. 茶产业的矛盾http://xhslink.com/o/4U2nyr8TWHc

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568

การย้อนแย้งของอุตสาหกรรมชา (1/3)

 


   ปฐมลิขิต: เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจเนื้อหาที่ได้นำเสนอในรูปแบบการบรรยายได้ง่ายและมากยิ่งขึ้น ผู้แปลจึงขอทำแผนภาพย่อยประกอบการเขียนอธิบายเนื้อหาต้นทางนี้ด้วย (มีข้อผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)

 

∆ แผนภาพ#1   

        การแสวงหาในการดื่มชาของพวกเราทุกคน เป็นกระบวนการต่อเนื่องก็คือผ่านหลายๆลำดับขั้นเหล่านี้มิใช่หรือ


        หลังจากที่พวกเราได้ขจัดปัญหาไม่ให้ร่างกายขาดน้ำที่พื้นฐานที่สุดโดยการดื่มน้ำชาแก้กระหาย แล้วพวกเราก็ได้ริเริ่มทำการศึกษาเพื่ออธิบายการแสดงออกทาง“ความรู้สึกทางปาก-กลิ่นหอมและรสชาติ”ของน้ำชา


        “ความรู้สึกทางปาก-กลิ่นหอมและรสชาติ”ที่ก่อเกิดจากลำดับขั้นต่อมา ซึ่งก็คือ“กรรมวิธีการผลิต-พันธุ์ชาและแหล่งปลูก


        แต่เมื่อหลังจากได้ทำการศึกษาลำดับขั้นข้างต้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ทุกคนยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ได้มาถึงลำดับขั้นที่ให้ความสำคัญต่อปัญหา“ความสะอาด”อย่างว่านั้นแหละ 


        แล้วก็ต่อด้วยลำดับขั้นตามมาอย่างทันที ริเริ่มโดยผ่านเรื่องราวการดื่มชาที่แสวงหาการแสดงออกของลำดับขั้น“ความรู้สึกทางสรีระ


        เมื่อมี“ความรู้สึกทางสรีระ”ที่แสดงออกมาได้ดีแล้ว ก็เริ่มค้นพบว่ามันมีผลต่อการแสดงออกทางความรู้สึกอย่าง“เบิกบานใจ”ของลำดับขั้นอารมณ์และจิตใจให้โดดเด่นขึ้นมา


        เมื่อหลังจากพวกเรามีประสบการณ์ส่วนตัวที่ดีในลำดับขั้นอารมณ์และจิตใจแล้ว จึงริเริ่มตระหนักรู้ซึ้งถึงคาแรคเตอร์ทาง“โดยธรรมชาติ”ของการดื่มชา


∆ แผนภาพ#2

        เมื่อทำการเพิ่ม“เส้นแนวนอน”แสดงความคืบหน้าให้แก่กระบวนการนี้แล้ว มันจะเป็นตัวแทนทาง“เวลา-อายุ-ประสบการณ์” แน่นอนยังครอบคลุมถึง“การแนะนำ(ที่ถูกต้อง)-ความชำนาญ(ที่ฝึกฝน)-ความเข้าใจซึ้ง(ที่สอดคล้องกัน)”


∆ แผนภาพ#3

        ขอให้พวกเรากลับมาดูลำดับขั้นพื้นฐานเหล่านี้อีกครั้งว่า พวกมันไปสอดคล้องกับอะไรบ้าง 


        ลำดับขั้น#1 สิ่งที่มันสอดคล้องกันที่แท้ก็คือบริบทของ“ศิลปชา


        ลำดับขั้น#2 สิ่งที่มันสอดคล้องกันก็คือบริบทของ“ความรู้ชา


        ลำดับขั้น#3 “ความสะอาด” โดยเฉพาะในแวดวงของอาหารและเครื่องดื่มในปัจจุบัน ปัญหาความสะอาดที่ถูกกล่าวถึงมากขึ้น ก็คือปัญหาของ“สารพิษตกค้าง


        ลำดับขั้นต่อมาถึง“ความรู้สึกทางสรีระ” สิ่งที่พวกเราต้องการคือประสบการณ์ส่วนตัวทาง“ฉาชี่” แล้วสิ่งที่นำไปส่ความรู้สึก“เบิกบานใจ”ของลำดับขั้นอารมณ์และจิตใจ ที่พวกเราได้นิยามว่า“คุณลักษณะชา”ปรากฏออกมา


        หลังจากเกิดปรากการณ์ของคุณลักษณะชาแล้ว ก็ถึงเวลาอันควรมาถึงระดับขั้นสูงของ“พิธีการชา


∆ แผนภาพ#4

        บริบทของ“ศิลปชา” สิ่งที่มันต้องการก็คือ“ดื่มดี


        แล้วการศึกษาวิจัยในลำดับขั้น“ความรู้ชา”นั้น ทำให้“มืออาชีพ”ทางใบชาเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา


        สิ่งที่สอดคล้องกับ“สารพิษตกค้าง”ก็คือ“ความปลอดภัย”ที่พวกเราต้องการ


        “ฉาชี่”ที่ดีนำพาถึง“ความรู้สึกทางสรีระ” ทำให้เกิดความรู้สึก“สุขกาย” แล้วนำมาสู่“เบิกบานใจ”ของลำดับขั้นอารมณ์และจิตใจ ให้มีความรู้สึก“สุขกายสบายใจ”ของการดื่มชา


        แล้วถึงท้ายสุดคือ“พิธีการชา” มันเสมือนกับไม่สามารถพรรณนาได้


∆ แผนภาพ#5

        มาถึงจุดที่สำคัญแล้ว โดยการเพิ่ม“เส้นแบ่ง”ลงในแผนภาพนี้ โดยใช้“ความสะอาด”เป็นจุดสำคัญ แบ่งออกเป็นเบื้องบนและเบื้องล่าง ที่แยกคนชาร่วมสมัยออกเป็นสองวงการเชิงตรรกะ

        เมื่อเพิ่มเส้นแบ่งนี้เข้าไปแล้ว คงทำให้เพื่อนๆจู่ๆก็เห็นแสงสว่างขึ้นมา ซึ่งเส้นแบ่งนี้เป็น“เพดาน”ของวงการความรู้ชาร่วมสมัย และก็ถือเป็นเส้นสันปันน้ำที่แท้จริงของความรู้ชาดั้งเดิมกับความรู้ชาร่วมสมัย

        ถ้าหากเหนือเส้นแบ่งของลำดับขั้น“ความสะอาด”คือ“ไร้สารพิษตกค้าง” นั่นเป็นการบ่งบอกถึงระบบธุรกิจชาร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานออแกนิค ล้วนไม่สามารถบรรลุถึงเส้นแบ่งสีแดงนี้ได้ นั่นก็แสดงว่ามาตรฐานออแกนิคก็มิใช่มาตรฐานไร้สารพิษตกค้าง


        ทุกคนได้สังเกตเห็นไมว่า ในบริบทของการศึกษาและการอธิบายในวงการความรู้ชาร่วมสมัยนั้น มันไม่ยอมรับ“ฉาชี่”ของการดื่มชาที่นำพามาซึ่ง“ความรู้สึกทางสรีระ”ทางปรากฏการณ์ตัวร้อนเหงื่อออกที่สอดคล้องกัน รวมถึงการดื่มชาที่นำพามาซึ่ง“เบิกบานใจ”ทางอารมณ์และจิตใจ

        การดื่มชาเป็นเพียงแค่หยุดอยู่ที่“ความรู้สึกทางปาก-กลิ่นหอมและรสชาติ”ที่ดี อันนำเข้าสู่ภาวะที่ศูนย์ประสาทตรงเปลือกสมองถูกกระตุ้นแล้วเกิดการหลั่งของสารโดปามีน​ (Dopamine) และเอ็นโดรฟีน​(Endorphine;“สารแห่งความสุข”) แล้วนำพาให้พวกเราบรรลุถึงความเบิกบานทางอารมณ์และจิตใจ

        นี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า ระบบความรู้ชาร่วมสมัยของพวกเราในขอบเขตของพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คิดที่จะนำขอบเขตของคุณสมบัติทางสสารมาอธิบายถึงความรู้สึกในลำดับขั้นอารมณ์และจิตใจนั้น มันยังขาดแคลนอยู่มาก


        กล่าวโดยตรงมากขึ้น เบื้องล่างของเส้นสันปันน้ำเส้นสีแดงนี้ มันคือความรู้ชาร่วมสมัยของพวกเรา มันเป็นบริบทที่สามารถทำการศึกษาและนำไปอธิบายได้   

        ส่วนเบื้องบนของเส้นแบ่งสีแดงนี้ คุณต้องยอมรับว่ามันดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่คำลือคำเล่าอ้างในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวก็ดี เป็นความรู้สึกก็ดี หรือเป็นวัฒนธรรมก็ดี แต่มันเป็นความรู้ชาดั้งเดิมของพวกเราที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริง 


∆ แผนภาพ#6

        เมื่อคุณเห็นด้วยกับเรื่องราวข้างต้นนี้แล้ว พวกเราก็มาเติม“เส้นแนวตั้ง”ลงในแผนภาพอีกเส้น เส้นนี้มุ่งขึ้นบน เป็นบริบทของการศึกษาที่แสดงออกถึงระดับ“มหัพภาค” มันเป็นการแสดงออกใน“เชิงซ่อนเร้น” แต่เมื่อเส้นนี้ลงสู่ล่าง มันเป็นอาณาเขตของ“จุลภาค” เป็นการแสดงออกใน“เชิงเปิดเผย

        ถ้าหากคุณยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเช่นนี้แล้ว งั้นเส้นแนวตั้งขึ้นบน มันคือองค์ประกอบของ“ศิลปะ”แขนงหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจว่าเป็น“ขอบเขต”บริเวณหนึ่ง ส่วนเส้นแนวตั้งลงล่าง เป็นลำดับขั้นจุลภาค เป็นเป้าหมายทางการศึกษาและอธิบายโดยวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย มันเป็นการปรากฏของ“ข้อกำหนด”ขึ้นมา

        “ขอบเขต”สิ่งนี้ มันไม่สามารถพรรณนาออกมาได้ ในเมื่อขณะนี้หลังมี“ข้อกำหนด”ขึ้นมาแล้ว มันก็เป็นการแสดง“มาตรฐาน”ที่ระดับสูงต่ำออกมา



เอกสารอ้างอิง:

1. 茶产业的矛盾http://xhslink.com/o/4U2nyr8TWHc

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568

ทำความเข้าใจเซิงจินของน้ำชาได้อย่างไร?

 


   1) แก่นแท้ของเซิงจิน


     • การแยกแยะเซิงจิน :

        - เซิงจิน (生津/การขับน้ำลาย) เป็นกลไกที่กรดอินทรีย์ไปกระตุ้นต่อมน้ำลายให้หลั่งน้ำลายออกมา


     • สารก่อเกิด :

        - ส่วนใหญ่คือกรดแกลลิก (Gallic Acid/没食子酸) ที่เกิดจากการสลายตัวด้วยน้ำ(Hydrolysis)ของสารไฮโดรไลเซเบิลแทนนิน (Hydrolysable Tannin/水解单宁) และกรดอีนทรีย์อื่นๆในใบชา 

▲เซิงจิน/生津 --- กรดอินทรีย์ไปกระตุ้นต่อมน้ำลาย โดยเฉพาะที่ต่อมน้ำลายใต้ลิ้นและใต้ขากรรไกรล่างจะหลั่งน้ำลายออกมา


   2) ความสัมพันธ์ระหว่างความฝาดกับเซิงจิน


     • การแยกแยะความฝาด :

        - ฝาดมิใช่เป็นการรับรู้รส แต่เป็นความรู้สึก โดยเกิดจากกลไกการสนองตอบต่อคาเทชีนกับมิวโคโปรตีน(Mucoprotein/黏蛋白)ในน้ำลาย มิวโคโปรตีนเป็นสารหล่อเลื่อนในช่องปาก เมื่อประจวบเหมาะที่ได้มาเจอะเจอคาเทชีนแล้วเกิดการควบรวมตัวกัน นำไปสู่การเกิดภาวะขาดน้ำของโปรตีนตัวนี้ สูญเสียความหล่อเลื่อนของช่องปากไป จึงเกิดปรากฏการณ์ของความรู้สึก“ฝาด/” 


     • ความฝาด ≠ เซิงจิน :

        - การวิเคราะห์จำแนก --- สารกลุ่มคาเทชีนที่ก่อเกิดความรู้สึกฝาด ไม่มีผลโดยตรงต่อการเกิดเซิงจิน แต่ความรู้สึกฝาดและเซิงจินสามารถก่อเกิด“ปรากฏการณ์การเปรียบต่าง” นำไปสู่ “ความรู้สึกของเซิงจินยิ่งเด่นชัดขึ้น

        - ความเข้าใจผิด --- เมื่อในช่องปากมีความรู้สึกฝาดเนื่องจากมิวโคโปรตีนในน้ำลายเกิดภาวะขาดน้ำ สูญเสียความหล่อเลื่อนไป แต่ทว่าปรากฏการณ์การกระตุ้นให้เกิดเซิงจิน เกิดการหลั่งน้ำลายออกมาแล้วไปเพิ่มปริมาณของมิวโคโปรตีนในน้ำลาย เพิ่มความหล่อเลื่อนให้เด่นชัดขึ้น จึงทำให้เข้าใจผิดว่า “ฝาดนำมาสู่เซิงจิน” 


 3) ความเย็นชื่นในภาวะหุยกานเซิงจิน


     • การจำแนกความเย็นชื่น :

        - เย็นชื่น (清凉) เป็นความรู้สึกที่เมื่อกลืนน้ำชาลงคอแล้ว มีความเย็นที่บางเบาหลงเหลืออยู่บนปลายลิ้นจรดช่องปากและลำคอ เสมือนกับความรู้สึกที่อมลูกอมรสเปปเปอร์มิ้น แม้นอาจไม่แรงเท่า แต่ก็เพียงพอที่อวัยวะประสาทสัมผัสของคนเราสามารถดักจับได้ชัดเจน


     • การก่อเกิด :

        - กระบวนการที่สารไฮโดรไลเซเบิลแทนนินเกิดการสลายตัวด้วยน้ำ(Hydrolysis)โดยการดูดความร้อน แตกตัวออกมาเป็นสารน้ำตาลกลูโคส(เกิดหุยกาน-หวานย้อนกลับ) และกรดแกลลิก(เกิดเซิงจิน-ขับน้ำลาย) ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่ง “ความรู้สึกเย็นชื่น/清凉感” ระดับแผ่วเบาในช่องปาก 

▲“ไฮโดรไลซิส/水解” ของ “ไกลโคไซด์/糖苷类物质” :
         ① กรดอินทรีย์/有机酸 → กระตุ้นให้หลั่งน้ำลายออกมาในช่องปาก → เซิงจิน/生津 
        ② กลูโคส/葡萄糖 → ความหวานเพิ่มขึ้น → หุยกาน/回甘 
        ③  เป็นปฏิกิริยาเคมีที่ดูดความร้อน → ความรู้สึกเย็นชื่น/清凉感

 

เอกสารอ้างอิง :

1. 回甘生津的本质是什么?https://m.ipucha.com/show-167-6715.html

ทำความเข้าใจหุยกานของน้ำชาได้อย่างไร?


   1) แก่นแท้ของหุยกาน


     • การแยกแยะหุยกาน :

        - หุยกาน (回甘/หวานย้อนกลับ) ไม่ถือเป็นพื้นฐานของการรับรู้รส มิใช่เป็นรสชาติชนิดหนึ่ง แต่เป็นความรู้สึกสัมผัสรูปแบบหนึ่ง


     • สารก่อเกิด :

        - ส่วนใหญ่คือ“ไกลโคไซด์ (Glycosides/糖苷类物质)”ในใบชาซึ่งเป็นกลุ่มสารที่นำพามา โดยเฉพาะ“ไฮโดรไลซ์เซเบิลแทนนิน (Hydrolysable Tannin/水解单宁)” สารประกอบตัวนี้ในตัวมันเองจะไม่ให้รสหวาน ง่ายต่อการถูกสลายด้วยน้ำ(ไฮโดรไลซิส/Hydrolysis) แตกตัวออกเป็นสารโมเลกุลที่เล็กลงเช่นน้ำตาลกลูโคสและกรดแกลลิก แล้วก่อเกิดความรู้สึกหวานที่ปรากฏออกมาระยะหลัง(เสมือนกับการกินหมั่นโถว เริ่มแรกจะไม่รู้สึกหวาน แต่จะรู้สึกยิ่งเคี้ยวยิ่งหวานภายหลัง)


   2) การแสดงออกของหุยกาน


     • การวิเคราะห์จำแนก :

        - หลังกลืนน้ำชาลงคอที่ดื่มเข้าปากไปแล้ว ความหวานที่ปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆในช่องปาก(ผลของกลูโคส) โดยทั่วๆไปจะเกิดขึ้นพร้อมกับเซิงจิน (生津/การขับน้ำลาย ; ผลของกรดแกลลิก)

          (แก่นของเรื่อง : ความหวานที่ปรากฏหลังกลืนแล้ว มิใช่ความหวานในขณะที่ดื่มอยู่ มีลักษณะเฉพาะที่การเกิดล่าช้า)


     • รูปแบบของการแสดงออก :

        - รวดเร็ว กับ ชักช้า

        - รุนแรง กับ อ่อนด้อย

        - ยาวนาน กับ ชั่วขณะ


     • ไร้ซึ่งหุยกาน :

        - เข้าปากตายด้าน ไม่มีพละกำลัง ขาดความรู้สึกลำดับขั้น


   3) ผลกระทบของหุยกาน


     • ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อหุยกาน :

        - ความเป็นไปแต่กำเนิด :  พันธุ์ชา สภาพแวดล้อมระบบนิเวศ การบริหารจัดการ อายุและความแข็งแรงของต้นชา เป็นต้นที่แตกต่างกัน

        - ความเป็นมาในภายหลัง :  ผลกระทบจากกรรมวิธีการผลิต จากการจัดเก็บ 


     • ผลกระทบจากกรรมวิธีการผลิต :

        - การเกิดออกซิไดซ์และการหมักในขั้นตอนของกรรมวิธีการผลิต สามารถไปลดความขมฝาด ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาไว้ซึ่งสารที่มีฤทธิ์ที่ก่อเกิดปรากฏการณ์หุยกาน 

        - ระดับของการออกซิไดซ์การหมักที่มีผลกระทบต่อหุยกาน :

           --- ระดับของการออกซิไดซ์การหมักที่ไม่สูง : ระดับของความขมฝาดลดลง แต่ยังคงไว้ซึ่งความมีฤทธิ์และหุยกานที่ดีโดยการเทียบเคียง 

           --- ระดับของการออกซิไดซ์การหมักที่สูงเกินไป : ระดับของความขมฝาดหลงเหลือน้อยมาก หุยกานจะอ่อนด้อยลงโดยการเทียบเคียง (อาทิชนิดชาดำ ชาแดง โปรดสังเกตว่าเป็นการอ่อนด้อยลงไปโดยการเทียบเคียง)


   4) ความสัมพันธ์ของความขมกับหุยกาน


     • การแยกแยะความขม :

        - ขมเป็นรสชาติชนิดหนึ่ง โดยเกิดจากสารที่มีรสขมไปกระตุ้นตุ่มรับรสของลิ้น


     • สารให้รสขม :

        - ส่วนใหญ่คือคาแฟอีนในใบชาเป็นสารที่นำพามา แน่นอนลำดับต่อมายังมีสารบางส่วนของคาเทชีน ซาโปนีน เป็นต้น


     • ขมมลาย ≠ หุยกาน :

        - การวิเคราะห์จำแนก --- สารที่ให้รสขมกับสารที่แสดงหุยกานเป็นสารคนละชนิดกัน ขมไม่มีทางเปลี่ยนเป็นหุยกานได้ (เช่นกรณีการทานยาจีนที่ขม มันจะไม่มีความรู้สึกหุยกานได้เลย มันก็เป็นเพียงมีรสขมบริสุทธิ์หนึ่งเท่านั้น)

        - ความเข้าใจผิด --- เนื่องจากความขมสามารถก่อเกิดความรู้สึกที่ตรงกันข้ามอย่างแรงกล้ากับความหวาน ดังนั้น “ความขมโดยทั่วไปจะทำให้คนเรามีความรู้สึกถึงหุยกานยิ่งรุนแรงเด่นชัดขึ้น”  ซึ่งสารให้รสขมถูกเยื่อเมือกในช่องปากดูดซับไว้ชั่วคราว น้ำลายที่ขับออกมาจะไปเจือจางสารตกค้างนี้ ซึ่งเมื่อหุยกานที่มีลักษณะเฉพาะของการเกิดล่าช้า คุณจะรู้สึกขมค่อยๆจางหายไปแล้วหุยกานค่อยๆปรากฏออกมา จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า “ขมมลายสิ้นไปเปลี่ยนเป็นหุยกาน




 

เอกสารอ้างอิง :

1. 回甘生津的本质是什么?https://m.ipucha.com/show-167-6715.html