วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ความรู้ที่ซ่อนแอบอยู่ในรสชาติของชา【EP1】(ตอนที่3)

โครงสร้างเนื้อเยื่อใบของใบชา


        เซลล์เนื้อเยื่อใบที่กักเก็บบุคลิก

        สารให้รสชาติชาส่วนใหญ่ล้วนถูกกักเก็บอยู่ในเซลล์เนื้อเยื่อใบของใบชา ดังนั้น ถ้าหากสามารถทำความรู้จักโครงสร้างเนื้อเยื่อใบของใบชามีลักษณะเป็นเช่นใดแล้ว ก็จะช่วยให้พวกเราเข้าใจถึงการเชื่อมโยงระหว่างใบชากับรสชาติชามากยิ่งขึ้น

        เฉกเช่นเดียวกับโครงสร้างเนื้อเยื่อใบของไม้ต้นส่วนใหญ่ ผิวด้านบนของใบชามีชั้นคิวทินที่ใสเงามันเคลือบอยู่และเป็นด้านรับแสงแดดเพื่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ส่วนผิวด้านล่างจะค่อนข้างหยาบขาวซีดและมีรูใบกระจายไปทั่วเพื่อช่วยในการหายใจและคายน้ำ เนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างชั้นผิวบนและผิวล่างของใบแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ :
        หนึ่งคือแพลิเซดมีโซฟิลล์ (Palisade Mesophyll) เป็นเนื้อเยื่อใบชั้นบน ประกอบด้วยเซลล์รูปร่างยาวเรียงตัวเป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบ ประกอบด้วยคลอโรพลาสต์เป็นจำนวนมาก จึงเห็นผิวหน้าใบปรากฏเป็นสีเขียวหยก
        อีกหนึ่งคือสปันจีมีโซฟิลล์ (Spongy Mesophyll) เป็นเนื้อเยื่อใบชั้นล่าง มีโครงสร้างประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอนเรียงตัวในทิศทางต่างๆกัน ดังนั้น จึงเกิดช่องว่างระหว่างเซลล์ที่สามารถกักตุนสารอาหาร เช่น : แวคิวโอล (Vacuole) เป็นออร์เกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มชั้นเดียวลักษณะเป็นถุง เป็นส่วนที่เก็บสะสมสารให้รสชาติชาได้เป็นจำนวนมาก อาทิเช่น : ทีโพลิฟีนอลส์ คาแฟอีน ธีอะนีน คาร์โบไฮเดรต แคโรทีนและสารกลิ่นหอม...เป็นต้น เนื้อเยื่อชั้นนี้มีคลอโรพลาสต์ค่อนข้างน้อย จึงเห็นท้องใบปรากฏเป็นสีขาวหมอก และมีเส้นใบที่เป็นมัดท่อลำเลียงน้ำและสารอาหาร

▲แพลิเซดมีโซฟิลล์ในเนื้อเยื่อใบของพันธุ์ใบใหญ่เป็นเซลล์ชั้นเดียว แพลิเซดมีโซฟิลล์ในเนื้อเยื่อใบของพันธุ์ใบเล็กเป็นเซลล์ 2-3 ชั้น ความแตกต่างของชั้นเซลล์เนื้อเยื่อใบมีผลกระทบโดยตรงต่อความเข้มจางของสีใบภายนอกและรสชาติของใบชาพันธุ์ใบใหญ่และพันธุ์ใบเล็ก

        รสชาติที่ผัสสะได้จากใบใหญ่ใบเล็ก     

        นอกจากการใช้ใบขนาดใหญ่เล็กมาจัดแบ่งต้นชาแล้ว การวิจัยยังค้นพบว่า สัดส่วนของเนื้อเยื่อแพลิเซดกับสปันจีของพันธุ์ใบใหญ่และพันธุ์ใบเล็กจะแตกต่างกัน ความแตกต่างนี้มีผลกระทบโดยตรงต่อความรู้สึกทางรสชาติที่สำแดงออกมาของพันธุ์ใบใหญ่และเล็กแตกต่างกัน ในเนื้อเยื่อใบของต้นชาพันธุ์ใบใหญ่มีแพลิเซดมีโซฟิลล์เป็นเซลล์ชั้นเดียว ส่วนพันธุ์ใบเล็กมีแพลิเซดมีโซฟิลล์เป็นเซลล์ 2-3 ชั้น ด้วยเหตุฉะนี้ โดยทั่วไปมองด้วยตาเปล่าแล้วผิวหน้าใบของพันธุ์ใบเล็กจะมีสีออกเขียวเข้มกว่าพันธุ์ใบใหญ่

        ด้านสัดส่วนของเนื้อเยื่อสปันจีกับแพลิเซด เนื้อเยื่อสปันจีของพันธุ์ใบใหญ่จะเป็น 2-3 เท่าของแพลิเซด ส่วนอัตราส่วนของเนื้อเยื่อสปันจีต่อแพลิเซดของพันธุ์ใบเล็กจะประมาณ 1 : 1 ทว่า แวคิวโอลที่กักเก็บสารให้รสชาติชาดำรงอยู่ในชั้นเนื้อเยื่อสปันจีเป็นส่วนใหญ่ เนื้อเยื่อสปันจียิ่งอ้วนท้วน อาจประกอบด้วยแวคิวโอลจำนวนโดยเทียบเคียงก็ยิ่งมาก ปริมาณสารให้รสชาติชาที่ประกอบอยู่ในใบก็จะยิ่งมาก ยิ่งท่วมท้น เนื้อสัมผัสก็จะยิ่งหนักแน่น

        ใบชาพันธุ์ใบใหญ่จะมีเนื้อเยื่อสปันจีที่อ้วนท้วน จึงสามารถกักเก็บสารให้รสชาติชายิ่งท่วมท้น ดังนั้น เมื่อพวกเราได้ดื่มชาพันธุ์ใบใหญ่ เช่น : ชาผู่เอ๋อร์ไม้ต้นใหญ่หรือชาแดงหงยี่ (红玉/พันธุ์ใต้หวันเบอร์ 18) จะสามารถผัสสะรสชาติชาที่มีรสเข้มข้น ขมฝาดทรงพลัง ส่วนเนื้อเยื่อสปันจีของใบชาพันธุ์ใบเล็กจะอ้วนท้วนไม่เท่าพันธุ์ใบใหญ่ รสขมฝาดเบาๆทำให้ตุ่มรับรสสามารถผัสสะรสหวานชื่นของธีอะนีนได้ง่ายขึ้น นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาที่พวกเราดื่มชาอูหลงจะสามารถผัสสะรสหวานนุ่มละมุนของเนื้อสัมผัส

สภาวะเครียดของต้นชา


        ความแตกต่างทางสภาวะเครียดทำให้รสชาติชาต่างกันออกไป

        แสงแดดอันอบอุ่นทางตอนใต้ของฝรั่งเศสทำให้ไวน์ของพื้นที่ผลิตมีรสเปรี้ยวฝาดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและจัดเต็ม การที่ได้ผัสสะรสเปรี้ยวฝาดในเนื้อสัมผัสของไวน์ ก็คือการที่คุณได้ดื่มแสงแดดอันอบอุ่นและสภาพแวดล้อมของพื้นที่ผลิตไวน์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสอย่างเต็มเปา

        ทำไมแสงแดดอันอบอุ่นทำให้ไวน์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสมีเนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและเปรี้ยวฝาด ?

        ความเป็นจริงเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของต้นองุ่นที่ผจญกับสภาวะเครียด แสงแดดที่เร่าร้อนนำมาซึ่งความอบอุ่นแก่สิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งสภาพอากาศที่อบอุ่นอันเป็นที่ชื่นชอบของแมลง องุ่นที่เป็นช่อๆในสวนองุ่นเป็นอาหารที่พวกแมลงชื่นชอบ พวกแมลงจำนวนมากจึงทยอยมาสร้างรังหากิน การปรากฏตัวของพวกแมลงจำนวนมากสำหรับต้นองุ่นแล้วก็คือการถูกรบกวนและถูกกดดัน เป็นสภาวะเครียดของการดำรงชีวิต

        เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสภาวะเครียดต่อการดำรงชีวิต ต้นองุ่นจึงต้องหาทางปกป้องผลองุ่นเพื่อไม่ให้แมลงกัดกิน จึงได้สร้างสารแทนนินที่มีรสเปรี้ยวฝาดซึ่งพวกแมลงส่วนใหญ่จะไม่ชอบขึ้นในเปลือกองุ่นเพื่อลดความอยากที่จะมากัดกินของพวกแมลง คุ้มกันองุ่นไม่ให้เป็นอาหารอันโอชะของพวกแมลง สารแทนนินก็คือสารประกอบที่เกิดจากกลไกเมตาบอลิซึมเพื่อคุ้มกันตนเองเมื่อต้นองุ่นประสบกับสภาวะเครียดจากแมลง สารชนิดนี้ทั่วไปเรียกว่า「เมตาบอไลต์ทุติยภูมิ (Secondary Metabolilites) 」ซึ่งกลไกการการคุ้มกันแบบนี้จะพบเห็นในอาณาจักรพืช ไม่ใช่เฉพาะในต้นองุ่น

        การผจญและปฏิกิริยาตอบโต้เฉกเช่นเดียวกับต้นองุ่น แสงแดดและความอบอุ่นเชื้อเชิญให้พวกแมลงจำนวนมากมาสร้างรังหากินและก่อร่างสร้างตัวในสวนชา กลายเป็นสภาวะเครียดต่อต้นชา ต้นชาซึ่งเป็นพืชเหมือนกันและแน่นอนจึงต้องปักหลักหาวิธีป้องกันตนเองท่ามกลางสภาวะเครียด ดังนั้น ต้นชาจึงสร้างสารให้รสขมฝาดที่พวกแมลงไม่นิยมชมชอบให้เพิ่มมากขึ้นในร่างมาลดความอยากที่จะมากัดกินของพวกมัน เมตาบอไลต์ทุติยภูมิที่สร้างขึ้นมาอันเนื่องจากสภาวะเครียดเหล่านี้ ก็คือ「ทีโพลิฟีนอลส์ (ทีแทนนิน , คาเทชิน) 」และ「คาแฟอีน」ซึ่งจัดอยู่ในสารที่ละลายน้ำ 3 ตัวหลักที่ประกอบอยู่ในใบชา

        เทียบเคียงกับเมตาบอไลต์ทุติยภูมิแล้ว ยังมีสารประกอบประเภทหนึ่งในพืชที่เรียกว่า「เมตาบอไลต์ปฐมภูมิ (Primary Metabolilites) 」 เป็นสารให้พลังงานที่จำเป็นต่อพืชในการธำรงกลไกชีวภาพ เช่น : โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน...เป็นต้น「ธีอะนีน」และ「คาร์โบไฮเดรต」ที่เป็นสารให้รสหวานในใบชา และ「เพกทิน」ที่ทำให้รู้สึกลื่นชุ่มคอเวลาดื่มน้ำชา ล้วนเป็นเมตาบอไลต์ที่สำคัญของต้นชา

        เมื่อเข้าใจการเชื่อมโยงของสภาวะเครียดกับ「เมตาบอไลต์ทุติยภูมิ」ของพืชแล้ว พวกเราก็จะสามารถเข้าใจได้ว่า「ทีโพลิฟีนอลส์」ที่ให้ความรู้สึกฝาด และ「คาแฟอีน」ที่ให้รสขม ปริมาณที่เป็นองค์ประกอบของเมตาบอไลต์เหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับแสงแดดและอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมอย่างมาก ดังนั้น พวกเราก็จะไม่ยากที่เข้าใจสภาวะต่างๆต่อไปนี้ที่มีผลต่อสถานะรสขมฝาดของน้ำชา

        สภาวะ 1 :ฤดูกาลกับรสชาติชา

        ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงจะอบอุ่นที่สุดในรอบปี แสงแดดที่สาดแสงแรงกล้าใน 2 ฤดูนี้ ต้นชาก็จะสร้างสารทีโพลิฟีนอลส์และคาแฟอีนขึ้นมาค่อนข้างมากอันเนื่องจากสภาวะเครียดจากแมลง ดังนั้น บนบุคลิกที่สำแดงออกมา ใบชาที่ผลิตในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงจะมีรสค่อนข้างขมฝาดรุนแรง ในด้านกลับกัน สภาพอากาศในฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวจะค่อนข้างหนาวเหน็บ กำลังวังชาของแมลงจะไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ดังนั้น ต้นชาจึงไม่จำเป็นต้องสร้างสารทีโพลิฟีนอลส์และคาแฟอีนจำนวนมากออกมาปกป้องตนเอง กลับมีความสามารถในการเมตาบอลิซึมได้เมตาบอไลต์ตัวสำคัญมาหล่อเลี้ยงตนเอง เช่น :「ธีอะนีน (รสหวานชื่น) 」「คาร์โบไฮเดรตและเพกทิน (รสหวานและความหนืด) 」...เป็นต้น

        ดังนั้น บนความรู้สึกในปากที่ผัสสะได้ ชาฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวจะมีรสหวานชื่นละมุนอย่างเด่นชัด รสขมฝาดที่เบาอ่อน ความหนืดและความไหลลื่นของน้ำชาเพิ่มขึ้น ณ บัดนี้ น่าจะเข้าใจได้แล้วว่าผู้อาวุโสที่นิยมชมชอบดื่มชาอูหลง ทำไมถึงหลงรักชาฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวถึงขนาดนี้ !?

▲(บน) ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง สภาวะเครียดสูง | เมตาบอไลต์สูง ค่อนข้างขมฝาด ; (ล่าง) ฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาว สภาวะเครียดต่ำ | เมตาบอไลต์ต่ำ ขมฝาดน้อย ค่อนข้างหวาน

        สภาวะ 2 :ความสูงระดับน้ำทะเลกับรสชาติชา

        บนระดับน้ำทะเล ทุกๆ 100 เมตรที่สูงขึ้นสภาพอากาศจะลดต่ำลงประมาณ 0.6°C เป็นไปตามความสูงระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อุณหภูมิของสภาพแวดล้อมจะลดลง ดังนั้น อุณหภูมิของสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชาบนระดับน้ำทะเลที่สูงจะหนาวเย็นและอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นที่ชาบนระดับน้ำทะเลที่ต่ำ จากหลักทฤษฎีสภาวะเครียดของพืช ต้นชาบนระดับน้ำทะเลที่สูงไม่จำเป็นต้องสร้างเมตาบอไลต์มากเกินพอมาคุ้มกันโรคภัยแมลง กลับกลายเป็นว่าอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากอันเนื่องจากเมฆหมอกที่บดบังแสงแดดในช่วงเวลาบ่าย ช่วยให้ใบชาเกิดการสะสมสารธีอะนีนและคาร์โบไฮเดรต นี่ก็คือเหตุผลที่เกาซานฉา (ชาเขาสูง) โดยทั่วไปเมื่อชิมดื่มขึ้นมาจะผัสสะรสหวานลื่นกลมกล่อม ขมฝาดน้อย ไม่เพียงเฉพาะชา ผักและผลไม้บนเขาสูง คุณก็สามารถค้นพบปรากฏการณ์เช่นนี้

▲(บน) ระดับน้ำทะเลสูง (สูงกว่า 1000 เมตรขึ้นไป) สภาวะเครียดต่ำ | เมตาบอไลต์ต่ำ ขมฝาดน้อย ค่อนข้างหวาน ; (ล่าง) ระดับน้ำทะเลต่ำ (ต่ำกว่า 1000 เมตรลงมา) สภาวะเครียดสูง | เมตาบอไลต์ต่ำ ค่อนข้างขมฝาด

        สภาวะ 3 :ละติจูดกับรสชาติชา

        องศาสูงต่ำของละติจูดเกี่ยวข้องกับระยะเวลาสั้นยาวที่แสงแดดสาดส่อง พื้นที่ชาในเขตละติจูดองศาต่ำเป็นเพราะระยะเวลาที่แสงแดดสาดส่องจะยาว อุณหภูมิของสภาพแวดล้อมจึงค่อนข้างสูง ดังนั้น ต้นชาก็จะเมตาบอลิซึมสร้างสารให้รสขมฝาดในปริมาณที่ค้อนข้างสูง รสชาติจึงร้อนแรงมีเอกลักษณ์ กลับกัน พื้นที่ชาในเขตละติจูดองศาสูงเป็นเพราะระยะเวลาที่แสงแดดสาดส่องจะสั้น สภาพอากาศค่อนข้างต่ำ ดังนั้น ปริมาณที่เป็นองค์ประกอบของสารให้รสขมฝาดค่อนข้างต่ำ ทำให้ผัสสะรสหวานชื่นได้อย่างเด่นชัดขึ้นอีกโดยการเทียบเคียง

▲(บน) ละติจูดองศาสูง สภาวะเครียดต่ำ | เมตาบอไลต์ต่ำ ขมฝาดน้อย ค่อนข้างหวาน ; (ล่าง) ละติจูดองศาต่ำ สภาวะเครียดสูง | เมตาบอไลต์ต่ำ ค่อนข้างขมฝาด

ความแตกต่างของสารให้รสชาติในยอดชาและใบชา


        สารประกอบและรสชาติของก้านชาแต่ละข้อ

        เมื่อเข้าใจพฤติกรรมทางปฏิกิริยาตอบโต้ของต้นชาที่มีต่อสภาวะเครียดแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าหากพวกหนอนแมลงเลือกกัดกินเฉพาะตรงส่วนที่เป็นยอดชาและใบอ่อนของต้นชา เมื่อเป็นลักษณะนี้ ถ้าหากคุณเป็นต้นชาต้นหนึ่ง คุณจะต้องทำอย่างไร ?

        ใช่หรือไม่ส่วนที่หนอนตัวเล็กยิ่งชอบมากัดกินก็จะหาทางสร้างเมตาบอไลต์ที่ให้รสขมฝาดให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน แล้วส่วนที่ตัวหนอนไม่ค่อยชอบ เช่น : ใบแก่ กระทั่งก้านใบ สามารถที่ค่อยๆผ่อนคลายลงไม่จำเป็นต้องจัดวางกำลังรสขมฝาดมาปกป้องคุ้มกัน ? แท้จริงแล้วความคิดของต้นชาจะคิดเหมือนอย่างพวกเราหรือไม่ ?

        การวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางส่วนที่เจาะจงเฉพาะใบชา ยอดชา กระทั่งก้านชาแต่ละข้อ ได้ค้นพบว่า สัดส่วนของ「ทีโพลิฟีนอลส์」「คาแฟอีน」และ「ธีอะนีน」ที่ประกอบอยู่ในยอดชา ใบที่1 ใบที่2... กระทั่งก้านใบข้อที1 ข้อที2... จะแตกต่างกัน

▲สัดส่วนของ「ทีโพลิฟีนอลส์」(ซ้าย)「คาแฟอีน」(กลาง) และ「ธีอะนีน」(ขวา) ที่ประกอบอยู่ในยอดชา ใบที่1 ใบที่2... กระทั่งก้านใบข้อที1 ข้อที2... จะแตกต่างกัน (最强/มากสุด /มาก /กลาง /น้อย)

      〖ส่วนของทีโพลิฟีนอลส์ 

        การจัดลำดับจากมากไปหาน้อยของสัดส่วนที่เป็นองค์ประกอบ ทีโพลิฟีนอลส์ที่ให้ความรู้สึกฝาดส่วนใหญ่จะกระจายอยู่ในยอดชา ต่อจากนั้นที่ใบที่1 ใบที่2 ใบที่3... ส่วนที่ใบแก่และก้านใบจะมีปริมาณทีโพลิฟีนอลส์ประกอบอยู่น้อยที่สุด

      〖ส่วนของคาแฟอีน

        จัดเป็นเมตาบอไลต์เหมือนกัน คาแฟอีนที่ให้รสขมจะกระจายตามลำดับเหมือนทีโพลิฟีนอลส์ คือส่วนใหญ่อยู่ในยอดชา ใบที่1 ใบที่2 ใบที่3... ใบแก่และก้านใบจะมีคาแฟอีนประกอบอยู่น้อยที่สุด ปริมาณคาแฟอีนในส่วนที่เป็นก้านจะมีเพียง 1/2 จนถึง 1/10 ของส่วนที่เป็นใบ

      〖ส่วนของธีอะนีน

        ธีอะนีนที่ให้รสหวานชื่นมีปริมาณประกอบอยู่ตามส่วนที่เป็นยอดชาและใบชาจะแตกต่างจากทีโพลิฟีนอลส์และคาแฟอีนอย่างสิ้นเชิง ปริมาณที่เป็นองค์ประกอบกระจายตามลำดับอยู่ที่ก้านใบข้อที่1 ข้อที่2 ข้อที่3...ข้อที่5 ต่อจากนั้นจึงมาที่ยอดชา ใบที่1 ใบที่2...เป็นต้น ธีอะนีนที่ส่วนที่เป็นก้านจะสูงกว่าส่วนที่เป็นใบเป็นอย่างมาก การวิจัยค้นพบว่า ธีอะนีนที่ก้านใบข้อที่1 จะเป็น 5 เท่าของยอดชา แม้เป็นก้านแก่ที่เป็นข้อสุดท้ายยังมีธีอะนีนประกอบอยู่เป็น 2 เท่าของยอดชา

        นอกจากนั้น การวิจัยยังค้นพบว่า สารกลิ่นหอมและคาร์โบไฮเดรตที่ให้รสหวานและทำให้น้ำชามีความหนืดนั้นจะเพิ่มมากขึ้นตามระดับความแก่อ่อนของใบชา ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบอยู่ในใบแก่จะมากเป็นหลายเท่าที่อยู่ในใบอ่อน

        สัดส่วนของสารให้รสฝาด ขม หวาน กระทั่งคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบอยู่ในยอดชา ใบชา และก้านใบชาในแต่ละข้อจะแตกต่างกัน ดังนั้น ระดับความแก่อ่อนของใบชาที่เด็ดเก็บจะมีผลกระทบต่อบุคลิกและคุณภาพของใบชาในท้ายที่สุด

      「บันทึกเรื่องชา --- กงล้อบุคลิก 

▲สัดส่วนของทีโพลิฟีนอลส์ คาแฟอีน และธีอะนีน จะแตกต่างกันอันเนื่องจากผลกระทบจาก : ระดับการเจริญเติบโตของใบชา (ส่วนที่เป็นยอด-ใบ-ก้าน) พันธุ์ต้นชา(พันธุ์ใบใหญ่ พันธุ์ใบเล็ก) ฤดูกาล ความสูงระดับน้ำทะเล ละติจูด สภาวะเครียด...เป็นต้น ทำให้การผัสสะทางรสชาติเวลาดื่มชามีระดับมิติต่างกันออกไป




▼เอกสารอ้างอิง : 王明祥 , 2019.《茶味裡的隱知識

ความรู้ที่ซ่อนแอบอยู่ในรสชาติของชา【EP1】(ตอนที่2)

สารให้รสชาติที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในใบชา



        สารชนิดต่างๆที่มีผลต่อรสชาติชา

        เริ่มตั้งแต่ค้นพบต้นชา คนจีนล้วนใช้ใบชาเป็นสมุนไพรมาต้มดื่ม แต่เมื่อการดื่มชาเป็นยาได้สืบทอดมาอย่างยาวนาน ต่อมาผู้คนจึงค่อยๆค้นพบว่าในใบชาซ่อนแอบไว้ซึ่งคุณค่าทางลิ้มรส ดังนั้น ในช่วงสมัยสามก๊กมีการชงชา น้ำชาที่ชงออกมากลิ่นหอมอบอวลรสนุ่มละมุน แต่การชงชายังใช้วิธีแบบการต้มสมุนไพรแล้วจึงมาควบคุมความร้อนของน้ำและช่วงจังหวะการใส่ใบชา

        ในสมัยถังซ่งอันรุ่งโรจน์ ดื่มด่ำบรรยากาศการลิ้มชิมรสชาได้รับความนิยมในหมู่ปัญญาชน การดื่มชากลายเป็นอันดับต้นใน 4 สุนทรียกรรม :「การชงชา จุดกำยาน จัดแจกันดอกไม้ วาดเขียนรูป」ที่เป็นกิจวัตรประจำวันของปัญญาชนสมัยซ่ง ต่อมา วิถีการดื่มชาของคนจีนก็จะแปรเปลี่ยนไปตามสมัยราชวงศ์ ทว่าความชื่นชอบในการลิ้มชิมรสชา ดื่มด่ำบุคลิกของชายังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตราบจนถึงยุคปัจจุบัน การดื่มชาได้กลายเป็นกิจกรรมของคนทั่วโลกไปแล้ว

        ในใบชาประกอบด้วยสารอะไรกันแน่ ? ที่สามารถทำให้คนโบราณเห็นเป็นยา และก็ทำให้คนจีนในหลายศตวรรษกระทั่งคนทั่วโลกในยุคปัจจุบันมาหลงใหลในกิจกรรมการดื่มชา สารในใบชาเหล่านี้จะต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับบุคลิก ขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนความเป็นสมุนไพรของคนโบราณ ซึ่งนำมาซึ่งบำรุงให้สุขภาพดี

        การศึกษาวิจัยได้ค้นพบว่า บุคลิกของชาหลักใหญ่ก่อเกิดจากสารที่ละลายน้ำที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในใบชา และสารที่ละลายน้ำเหล่านี้มีอยู่ประมาณ 25-35% โดยน้ำหนักของใบชาแห้ง โดยมี「ทีโพลิฟีนอลส์」「คาแฟอีน」และ「ธีอะนีน」เป็น 3 สารตัวหลักสำคัญซึ่งมีอยู่ประมาณ 73% ของปริมาณสารที่ละลายน้ำทั้งหมดในใบชา นอกจากมีสัดส่วนที่สูงแล้ว สาร 3 ชนิดนี้ต่างกำหนดรสชาติและความรู้สึกในปากที่แตกต่างกัน เป็นสารให้รสชาติตัวสำคัญที่ประกอบกันขึ้นเป็นเนื้อสัมผัสของชา การอธิบายและสนทนาในบทต่อๆไปล้วนแวดล้อมบนสาร 3 ชนิดนี้

       〖ทีโพลิฟีนอลส์--- ความรู้สึกฝาดของชา

        ทีโพลิฟีนอลส์ (Tea Polyphenols) เป็นชื่อที่ใช้เรียกรวมสารกลุ่มโพลิฟีนอลส์ที่มีมากกว่า 30 ชนิดในใบชา ประกอบด้วย : คาเทชิน ฟลาโวนอล แอนโทไซยานิน และกรดคลอโรจีนิก ที่เป็นสาร 4 ตัวหลักสำคัญ เป็นสารที่ละลายน้ำที่มีมากที่สุดที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในใบชา มีอยู่ประมาณ 48% ของสารประกอบที่ละลายน้ำทั้งหมดในใบชา

        ประมาณ 70% ของทีโพลิฟีนอลส์เป็นคาเทชินส์ (Catechins หรือเรียกเป็น Flavanols) ถือเป็นสารเชิงตัวแทนที่ดีที่สุดในทีโพลิฟีนอลส์ ทีโพลิฟีนอลส์เป็นสารให้รสชาติตัวสำคัญที่ทำให้ใบชาเพียบพร้อมด้วยคุณค่าทางลิ้มรส โดยผ่านขั้นตอนการหมักในกระบวนการผลิตชา ทีโพลิฟีนอลส์จะค่อยๆถูกออกซิไดซ์และเกิดปฏิกิริยารวมตัวแล้วก่อเกิดสี/กลิ่น/รสที่แตกต่างกันตามขั้นตอน กลายเป็นบุคลิกของชาที่มีระดับชั้นแตกกันออกไป

        ในการลิ้มชิมรส ทีโพลิฟีนอลส์เป็นสารตัวหลักที่มีคุณลักษณะฝาดสมานและทำให้เกิดความรู้สึกฝาด ความรู้สึกฝาดก็คือความรู้สึกที่รับรู้ได้จากผิวภายในปากหรือบนลิ้นหดรัดตัว ในการบอกรสชาติอาหารจัดอยู่ในบริบทของการรับรู้เมื่อได้สัมผัสที่เป็น「ความรู้สึกในปาก (Mouthfeel) 」

        ในด้านบำรุงสุขภาพ ทีโพลิฟีนอลส์นอกจากช่วยในการย่อยไขมันแล้ว การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มากมายได้ยืนยันแล้วว่า ทีโพลิฟีนอลส์มีสรรพคุณในการบำรุงให้สุขภาพดีโดยสามารถต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ลดการอักเสบและฆ่าเชื้อ...เป็นต้น

      〖คาแฟอีน--- รสขมของชา

        คาแฟอีน (Caffeine) ก็เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแอลคาลอยด์หรือธีโอฟิลลีน มีอยู่ประมาณ 10% ของสารประกอบที่ละลายน้ำทั้งหมดในใบชา ตลอดส่วนบนถึงล่างของต้นชา นอกจากเมล็ดแล้ว ทุกๆส่วนล้วนมีคาแฟอีนประกอบอยู่

        ในการลิ้มชิมรส คาแฟอีนในใบชาและในเมล็ดกาแฟเป็นสารประกอบเคมีชนิดเดียวกัน เป็นสารให้「รสชาติ (Taste)」ตัวหลักที่ให้รสขม

        ในด้านบำรงสุขภาพ เช่นเดียวกับคาแฟอีนในกาแฟ คาแฟอีนที่ละลายออกมาจากใบชาจะไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้ร่างการรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ช่วยให้เกิดความความสมดุลในการเมตาบอลิซึมของเซลร่างกาย

      〖ธีอะนีน--- รสหวานชื่นของชา

        ธีอะนีน (Theanine) เป็นกรดอะมิโนอิสระที่ดำรงอยู่ในใบชา เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษและเป็นหน่วยย่อยที่ประกอบขึ้นเป็นโปรตีน มีอยู่ประมาณ 15% ของสารประกอบที่ละลายน้ำทั้งหมดในใบชา

        ในการลิ้มชิมรส ธีอะนีนเป็นสารตัวหลักที่ให้รสหวานชื่นของชา แล้วยังเป็นสารตั้งต้นในช่วงการแปรรูปชาทำให้เกิดสารกลิ่นหอมอื่นๆในใบชา เป็นดัชนีชี้วัดสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้คุณภาพของใบชามีความสมดุล

        ในด้านบำรงสุขภาพ จากการวิจัยได้ค้นพบว่า ร่างกายดูดซึมธีอะนีนในปริมาณที่เหมาะสมแล้วจะนำมาซึ่งความสุขทางสุขภาพจิต ลดสภาวะความเครียดทางจิตใจ ผ่อนคลายร่างกาย เพิ่มสมาธิได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นแล้ว ธีอะนีนยังสามารถช่วยลดผลข้างเคียงของคาแฟอีนที่มีต่อร่างกาย ลดภาวะการนอนไม่หลับที่เป็นผลกระทบจากการดื่มชา

      〖คาร์โบไฮเดรตและเพกทิน--- รสหวานและความรู้สึกไหลลื่นของชา

        คาร์โบไฮเดรตที่ประกอบอยู่ในใบชา (ประกอบด้วย : น้ำตาลฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลมอลโตส...เป็นต้น) เป็นสารตัวสำคัญที่ทำให้รสชาติชามีรสหวานและรู้สึกคล่องคอ คาร์โบไฮเดรตและธีอะนีนล้วนทำให้ได้ผัสสะรสหวานเหมือนกัน มีอยู่ประมาณ 7% ของสารประกอบที่ละลายน้ำทั้งหมดในใบชา นอกจากนั้นแล้ว สารเพกทินในใบชาก็จัดอยู่ในคาร์โบไฮเดรต สารเพกทินจะนำมาซึ่งความหนืดและความรู้สึกไหลลื่นของน้ำชา ช่วยผ่อนรสขมฝาดที่นำมาซึ่งความรู้สึกทางรสอย่างรุนแรงให้บางเบาลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม มีอยู่ประมาณ 5% ของสารประกอบที่ละลายน้ำทั้งหมดในใบชา

      〖สารให้รสเปรี้ยวและรสเค็ม

        สารประกอบที่ให้รสเปรี้ยวในใบชาตัวหลักเป็นกรดอินทรีย์บางชนิด เช่น : กรดมะนาว กรดมาลิก กรดแกลลิก...เป็นต้น รสเค็มก็คือเกลืออนินทรีย์ เช่น : เกลือโปแตสเซียม เกลือโซเดียมคลอไรด์...เป็นต้น

        เปรียบเทียบกับ「ทีโพลิฟีนอลส์」ที่ทำให้รู้สึกฝาด「คาแฟอีน」ที่นำมาซึ่งรสขม และ「ธีอะนีน」ที่กำหนดรสหวานชื่น รสเปรี้ยวและรสเค็มล้วนไม่ใช่รสชาติของใบชาสดที่ตุ่มรับรสสามารถผัสสะได้อย่างเด่นชัด แต่รสเปรี้ยวของชาเกิดการสะสมขึ้นในกระบวนการหมักช่วงการแปรรูปชา รสเปรี้ยวที่กำลังดีจะทำให้รู้สึกได้ผัสสะรสชาติที่สดชื่นและเข้มข้นของน้ำชา นี่เป็นรสชาติหนึ่งที่ผัสสะได้เมื่อลิ้มชิมรสชาอูหลงที่ระดับการหมักสูง หรือชาแดงที่ระดับการหมักสมบูรณ์ 

      〖สารกลิ่นหอม

        เครื่องดื่มใดๆบนโลกนี้ที่ควรค่าแก่การลิ้มรสแล้วล้วนเน้นหนักไปทางกลิ่นหอม บางคราว กลิ่นหอมถือเป็นตัวแทนของคุณภาพ แน่นอนใบชาก็ไม่มีการยกเว้น สารกลิ่นหอมระเหยในใบชาสด (เช่น :สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน...เป็นต้น) ที่มีอยู่ประมาณ 0.02-0.03% ของสารประกอบที่ละลายน้ำทั้งหมดในใบชา แม้ว่าสารกลิ่นหอมมีปริมาณในอัตราส่วนที่ต่ำอยู่ในใบชาสด แต่กลิ่นหอมของผลิตภัณฑ์ใบชาที่แท้ก่อเกิดจาก「กระบวนการแปรรูปชา」อาศัยในช่วงการหมักใบชา สารที่ละลายน้ำในใบชาจะถูกออกซิไดซ์แล้วเกิดเป็นสารกลิ่นหอมที่หลากหลาย ทีโพลิฟีนอลส์และธีอะนีนเป็นสารประกอบเคมีสำคัญที่เกิดเป็นสารกลิ่นหอมในช่วงการแปรรูปชา
 
         การวิเคราะห์จากการแยกสาร สารกลิ่นหอมที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในใบชามีถึง 700 ชนิด โดยสามารถแยกย่อยออกเป็น 11 ประเภท ในใบชาสดค้นพบมีกว่า 80 ชนิด กลุ่มชาเขียวมีกว่า 200 ชนิด โดยมีสารกลุ่มแอลกอฮอล์และกลุ่มอัลดีไฮด์เป็นตัวหลักสำคัญ ช่วยรักษากลิ่นหอมสดชื่นและสดใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของใบชาสด ; กลุ่มชาแดงมีสารกลิ่นหอมดำรงอยู่กว่า 400 ชนิด ตัวหลักๆมีกลุ่มเทอร์เพนส์ (Terpenes) ลินาโลโอล (Linalool) เมทิลซาลิไซเลต (Methyl Salicylate) และเบต้าดามาสซีโนน...เป็นต้นซึ่งเป็นสารประกอบเคมีที่มีกลิ่นหอมดอกไม้และกลิ่นผลไม้หวาน ; ชนิดของสารกลิ่นหอมในชาอูหลงอยู่ระหว่างชาเขียวกับชาแดง ตัวหลักๆมีอินโดล (Indole) หรือจัสมีนเลคโตน (Jasmine Lactone) ลินาโลโอลที่ให้กลิ่นหอมดอกไม้สดชื่น นีโรลิดอล (Nerolidol) ที่ให้กลิ่นดอกมูเกร์ ดอกส้ม และซีโทรเนลลอล (Citronellol) ที่ให้กลิ่นดอกกุหลาบ...เป็นต้น

      〖สารอื่นๆ

        ทีซาโปนิน (Tea Saponin) ก็คือสารที่ทำให้เกิดเป็นฟองบนผิวน้ำชาเวลาริม จะมีรสขมและฉุน แต่เนื่องจากมีปริมาณในอัตราส่วนที่ต่ำมาก จึงไม่มีผลต่อรสชาติชามากนัก จากการวิจัย ทีซาโปนินมีสรรพคุณยับยั้งเชื้อแบคที่เรียและต้านอนุมูลอิสระ

        ในใบชายังประกอบด้วยวิตามีนชนิดต่างๆ นอกจากวิตามีน B และ C แล้ว วิตามีนส่วนใหญ่ล้วนเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ (เช่น : วิตามีน A,D,E,K) วิตามีน B และ C ต่างก็มีสรรพคุณในการบำรงสุขภาพ ปริมาณวิตามีน C ที่ดำรงอยู่ในชาเขียวจะมากกว่าในชาแดง วิตามีน C จะลดลงเนื่องจากระยะเวลาการเก็บที่ทอดยาวขึ้นโดยถูกออกซิไดซ์ ถ้าหากซื้อใบชากลับมาแล้วให้รีบทำการชงดื่มในขณะที่ยังสดใหม่อยู่ นอกจากได้ลิ้มรสชาติของชาใหม่ แล้วยังสามารถดูดซึมวิตามีน C ในปริมาณที่มากมารักษาสุขภาพ

        นอกจากนี้ ในขณะที่ต้นชาดูดซึมธาตุอาหารในดิน ในขณะเดียวกันก็ดูดซึมแร่ธาตุจากดินด้วย ดังนั้น ในใบชาจะประกอบด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียม โปแตสเซียม แมงกานีส และฟลูออรีน...เป็นต้น

▲สาร「ทีโพลิฟีนอลส์」「คาแฟอีน」และ「ธีอะนีน」ประกอบขึ้นเป็นเนื้อสัมผัสในรสชาติชา


▼เอกสารอ้างอิง : 王明祥 , 2019.《茶味裡的隱知識