เริ่มนับตั้งแต่ใบสดของชาผูเอ่อร์ถูกเด็ดจากกิ่ง ก็เป็นการหลุดพ้นจาก“ชีวิตของพืชพรรณ” ไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงแดด น้ำ ดินมาหล่อเลี้ยงอีกต่อไป
เมื่อหลังจากการฆ่าเขียวโดยการคั่วพลิกกลับกลางกระทะเหล็กที่เร่าร้อน ทำให้กลิ่นเหม็นเขียวเบาบางลง และน้ำในใบสดสูญเสียไปบางส่วนและอ่อนตัวลงง่ายต่อการนวด
ต่อจากนั้นถูกการนวดอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผนังเซลล์บนผิวใบจะถูกทำลาย
ผึ่งตากแดดภายใต้แสงแดดและแสงอัลต้าไวโอเลต ทำให้น้ำในชาเส้นกลายเป็นไอระเหยออกไปเกือบหมด
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดถูกอัดขึ้นเป็นรูปร่างของแข็ง(ส่วนใหญ่ลักษณะเป็นแผ่นกลม)
แผ่นชาดิบผูเอ่อร์นี้เป็นสิ่งมีชีวิตก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อย่างเป็นทางการ มันมี“พลังชีวิต”ก็คือเอนไซม์ที่ยังมีฤทธิ์อยู่ มันไม่ต้องการสารอาหารใดๆมาหล่อเลี้ยง เพียงต้องการอากาศและความชื้นในบรรยากาศตามธรรมชาติ
ตามสัณฐานภายนอกที่ยังเป็นรูปร่างถาวร และก็กิจกรรมทางชีวภาพที่ร่วมด้วยช่วยกันของจุลินทรีย์ที่อยู่ภายใน แผ่นชาดิบผูเอ่อร์มีชีวิตดำเนินไปอย่างต่อเนื่องบนเส้นทางของกาลเวลา จะค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะ“ลูกเป็ดขี้เหล่กลายเป็นห่านฟ้า”
จากดิบใหม่เข้าสู่สุกเก่า ลักษณะแผ่นจากอัดแน่นเข้าสู่คลายหลวม รสชาติจากเขียวฝาดเข้าสู่หนานุ่ม ความรู้สึกทางปากจากกระตุ้นแรงเข้าสู่เบาบางลง สีน้ำชาจากเขียวเหลืองเข้าสู่น้ำตาลแดง.....บรรดาสารองค์ประกอบจะโน้มเอียงมาทางเป็นผลดีต่อสุขภาพ
“การเปลี่ยนแปลง”เป็นพื้นฐานของหลักปรัชญาบรรดามี ในหลักการของ“ปรัชญาชีวิต” การเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
อังรี แบร์กซอง(Henri Bergson ; 1859-1941) เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซึ่งมีแนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับความจริงและความเป็นจริงว่า :
- “ความจริง(Truth)” ไม่ได้เป็นสิ่งคงที่(Static) แต่เป็นสิ่งที่เป็นพลวัต(Dynamic) คือเป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีวิวัฒนาการ
- “ความเป็นจริง(Reality)” เป็นกระบวนการที่ดำเนินไป(Process) เป็นการล่วงไปของเวลา(Duration) เป็นการเคลื่อนที่(Mobility) เป็นการกลายเป็น(Becoming) เป็นการพัฒนา(Development) อย่างต่อเนื่องของสิ่งต่างๆ เป็นความโน้มเอียง(Tendency) หรือการอยู่ในสภาวะของการเปลี่ยนและการกลายเป็น
“พลังชีวิต(Élan Vital)” ในแผ่นชาดิบผูเอ่อร์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดพัฒนาการที่ไม่คงที่ แต่เป็นพลวัต
- การชิมดื่มแผ่นชาดิบผูเอ่อร์ ณ เวลาช่วงหนึ่ง น้ำชาจะมีสี-กลิ่น-รสในบุคลิกหนึ่ง ซึ่งก็คือ“ความจริง”ของแผ่นชาดิบผูเอ่อร์ที่ปรากฏ ณ เวลาช่วงนั้น แต่มันมีพัฒนาการไปข้างหน้าตลอดเวลา จึงสามารถแบ่ง“ความจริง”ออกเป็นช่วงๆ เช่น ช่วง1-5ปี , ช่วง5-10ปี , ช่วง10-15ปี , ช่วง15-20ปี , ช่วง20-25ปี , ช่วง25-30ปี ฯลฯ
- การจัดเก็บแผ่นชาดิบผูเอ่อร์เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตาม“ความเป็นจริง” เป็นสภาวะของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คงที่ ตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป และการกลายเป็นสิ่งที่กำลังจะเป็นที่ไม่ทราบ และวิทยาศาสตร์ก็มีข้อจำกัดในการอธิบายสิ่งต่างๆที่มีลักษณะเป็นพลวัต
“ข้ามาจากไหน? ข้าจะไปไหน?”นี่เป็นคำถามยอดฮิตทางปรัชญาก็มีเพียงมนุษย์ที่ครุ่นคิดและซักถามขึ้นมา ชีวิตอันเนื่องจากไม่รู้จึงมีความหมายในการดำรงอยู่
ถึงแม้การคาดการณ์อนาคตความเป็นไปของแผ่นชาดิบผูเอ่อร์เป็นการคาดหวังของเพื่อนชา แต่อนาคตความเป็นไปของแผ่นชาดิบผูเอ่อร์จะมิใช่สิ่งที่เพื่อนชาสามารถกำหนดเป็นมาตรฐานแล้วควบคุมให้อยู่หมัดได้ เพียงสามารถกำหนดความเป็นมาของแผ่นชาดิบผูเอ่อร์ได้
การใช้ยอดใบฤดูใบไม้ผลิจากยี่หวู่ทุกวันนี้มาอัดเป็นแผ่นชา เมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายๆปีแล้ว จะสามารถกลายเป็นชาเกรดห้างซ่งพิ่งห้าว(宋聘号)ได้หรือไม่?
ชาผูเอ่อร์เนื้อเดียวบริสุทธิ์จากเหล่าปานจาง เมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายๆปีแล้ว รสชาติจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
ชาสูตร7542ของทุกวันนี้ เมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายๆปีแล้ว จะสามารถเปลี่ยนเป็นแผ่น 88 ชิงหรือไม่?
พวกเรายังสามารถก๊อบปี้กรรมวิธีการผลิตและเส้นทางพัฒนาการของชาเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ได้หรือไม่?
.....ฯลฯ.....
การคาดหวังในสิ่งที่ไม่รู้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชาผูเอ่อร์ที่ดึงดูดผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ว่าจะต้องคาดหวังและรอคอยยาวนานเท่าไร ไม่ว่าจะร้อนรนใจมากน้อยแค่ไหน ล้วนไม่สามารถขัดขืนวิถีโคจรชีวิตของชาผูเอ่อร์ (ยกเว้นกรณีฝืนชะตาฟ้า ท้าลิขิตสวรรค์ โดยใช้วิธีการโกดังเปียกที่ร้อนสูงชื้นสูง อาจถูกฟ้าประทานโทษให้ชาเกิดเชื้อรา) ต้องค่อยๆลิ้มรสศิลปะที่เกิดอย่างชักช้า ณ เวลาช่วงนั้นๆ