วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568

กลิ่นระเหย vs กลิ่นซุกซ่อน (3/3)

 



ความแตกต่างระหว่างกลิ่นระเหยและกลิ่นซุกซ่อน


   1) การนิยาม


     • กลิ่นระเหย (ก็เรียกขานว่า “กลิ่นใบชาแห้ง; กลิ่นฝาก้ายหว่าน; กลิ่นจากการดม) :

        - เป็นการบ่งชี้ถึงกลิ่นที่ระเหยออกมาจากใบชาที่ยังไม่ได้สัมผัสกับน้ำ หรือในขณะที่กำลังส้มผัสกับน้ำร้อนช่วงชงชา พวกเราสามารถดมกลิ่นได้โดยตรงโดยผ่านจมูก (การได้กลิ่นด้านหน้าจมูก)


     • กลิ่นซุกซ่อน (ก็เรียกขานว่า “กลิ่นน้ำหอม; กลิ่นน้ำชา) :

        - เป็นการบ่งชี้ถึงสารประกอบกลิ่นในใบชาที่ละลายออกมาอยู่ในน้ำชา เป็นกลิ่นที่รับรู้ได้หลังการดื่มชาเข้าปากผ่านไปทางด้านหลังของโพรงจมูก (การได้กลิ่นด้านหลังจมูก

▲“การได้กลิ่นด้านหน้าจมูก/鼻前嗅觉” และ “การได้กลิ่นด้านหลังจมูก/鼻后嗅觉” 


   2) ความแตกต่าง


     • กลิ่นระเหย :


        > คุณลักษณะเฉพาะของสารประกอบกลิ่น :

          - ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารประกอบกลิ่นที่มีจุดเดือดต่ำ, โมเลกุลขนาดเล็ก, มีฤทธิ์มาก ในสภาวะอุณหภูมิห้องหรือการเพิ่มความร้อนเพียงเล็กน้อยก็จะระเหยออกมาได้ง่าย 

          - สารประกอบกลิ่นจุดเดือดต่ำที่พบเห็นบ่อย : Leaf Alcohol; ประเภทอัลดีไฮด์; บางส่วนของตระกูลเทอร์พีน เป็นต้น พวกมันนำพาชาให้มีกลิ่นดอกไม้ ผลไม้และกลิ่นหญ้าเขียวที่สดใสและฟุ้งกระจาย 


        > ข้อบ่งบอกถึงคุณภาพ :

          - กลิ่นระเหยเป็น“ความประทับใจครั้งแรก”ของคุณภาพใบชา กลิ่นจะบริสุทธิ์, ฟุ้งกระจาย, มีกลิ่นแปลกปลอมหรือไม่ เป็นดัชนีมาตรฐานสำคัญที่บ่งชี้ถึงกรรมวิธีการผลิตและการจัดเก็บใบชาถูกต้องหรือไม่? 

          - สิ่งที่ต้องสนใจว่า เพียงมีกลิ่นระเหยที่เข้มข้น มิใช่ว่าจะเป็นตัวแทนของน้ำชาที่ดื่มดี มีชาบางตัวสามารถเพิ่มกลิ่นระเหยได้โดยใช้กรรมวิธีการผลิต แต่ถ้าหากมีสารองค์ประกอบไม่เพียงพอ กลิ่นซุกซ่อนก็จะอ่อน นำไปสู่ภาวะ “ดมแล้วหอม ดื่มไร้รส


     • กลิ่นซุกซ่อน :


        > คุณลักษณะเฉพาะของสารประกอบกลิ่น :

          - ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารประกอบกลิ่นที่มีจุดเดือดสูง, โมเลกุลขนาดใหญ่, ระเหยได้ยาก ต้องอาศัยอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูงจึงจะสามารถปลดปล่อยออกมา แล้วก็สามารถละลายได้ในน้ำค่อนข้างดี

          - สารประกอบกลิ่นจุดเดือดสูงที่พบเห็นบ่อย : Phenylethanol (กลิ่นกุหลาบ); Geraniol (กลิ่นดอกไม้หวาน); Pyrazines (กลิ่นปิ้งไฟ) เป็นต้น พวกมันประกอบขึ้นเป็นกลิ่นหอมของน้ำชาที่มีความลึกซึ้ง, ความหนา, และความคงทน


        > ข้อบ่งบอกถึงคุณภาพ :

          - กลิ่นซุกซ่อนเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่บ่งชี้ว่าสารองค์ประกอบในใบชามีครบบริบูรณ์หรือไม่ ชาที่ดีตัวหนึ่ง ซึ่งกลิ่นมิใช่ต้องล่องลอยอยู่บนผิวน้ำ ยิ่งต้องหลอมเข้าไปอยู่ในน้ำชา

          - ไม่ว่าจะเป็น “กลิ่นซึมซับ/香入水”; “กลิ่นซุกซ่อน/水含香”; “กลิ่นซ่อนเร้น/水生香” ล้วนเป็นศัพท์เฉพาะที่ถูกใช้บ่อยในการอธิบายใบชาที่มีคุณภาพสูง มันหมายความว่า ใบชามิเพียงแค่มีกลิ่นที่ระเหยได้ง่าย ยิ่งต้องประกอบด้วยสารประกอบกลิ่นจุดเดือดสูงและสามารถละลายได้ในน้ำอย่างเพียงพอ 

▲สารประกอบกลิ่น : “กลิ่นระเหย/水飘香”--จุดเดือดต่ำ, ระเหยเร็ว, ได้กลิ่นด้านหน้าจมูก ; “กลิ่นซุกซ่อน/水含香”--จุดเดือดสูง, ระเหยช้า, ได้กลิ่นด้านหลังจมูก
 

   3) กลิ่นหอมต้องอาศัยการดมจึงจะได้กลิ่น?


        กลิ่นมิใช่ว่าเข้าปากแล้วก็จะได้กลิ่นโดยทันที ทั่วๆไปแล้วมันจะปรากฏบนสมองมักล่าช้าไปหนึ่งก้าว


        เมื่อคุณดื่มชาหนึ่งคำ โมเลกุลกลิ่นหอมมิใช่เข้าไปในจมูกสู่ระบบการรับกลิ่นโดยทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการเคี้ยว, การทำให้ปั่นป่วน, ความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น, การย่อยสลายเป็นต้น หลังผ่านช่วงบนของโพรงปากไปยังหลังโพรงจมูก แล้วจึงถูกระบบการรับกลิ่นดักจับได้ 

        งั้นหมายความว่า : 

         @ กลิ่นบางชนิดต้องค่อยช่วงขณะ“เคี้ยว”จึงจะปรากฏออกมา; 

         @ มิใช่ว่ากลิ่นอ่อน เพียงปลดปล่อยล่าช้า


        น้ำชาที่ดีเด่นโดยทั่วไปจะไม่โปร่งใส ไม่บางเบา เนื่องจากประกอบด้วยสารกลุ่มพอลิแซ็กคาไรด์, โปรตีน, สารสีน้ำตาล (Theabrownins) เป็นต้นที่เป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่

        โมเลกุลใหญ่เหล่านี้ไม่เพียงก่อให้น้ำชามีความหนืดลื่น สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ :

        - พวกมัน“ห่อหุ้ม”โมเลกุลกลิ่นหอมไว้ ก่อเกิดเป็นโครงสร้างการปลดปล่อยอย่างช้าๆ ทำให้กลิ่นหอมค่อยๆถูกปลดปล่อยออกมาจากลำคอ (บางครั้งอาจเกิด“ความรู้สึกเย็นชื่น/清凉感”) อาฟเตอร์เทสจะยิ่งมีมิติ ยิ่งทนนาน


        นี่ก็คือเหตุผลทำไมบรรดาเหยียนฉา, ตานฉง, ตงฟางเหมยเหยิน, ชาดิบผูเอ่อร์, ชาขาวเข็มเงิน, ที่เกรดสูงจำนวนมากล้วนมีกลิ่นอาฟเตอร์เทสที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง 

▲กระบวนการได้กลิ่นด้านหลังจมูก
 

 

  4) ระบบรับกลิ่น


       • Orthonasal Olfaction -- กลิ่นระเหย :

          - การรับกลิ่นที่มาจากภายนอกผ่านรูจมูก เช่น การนำจอกชาเข้ามาใกล้จมูกแล้วสูดดมกลิ่นทันที

          - การรับกลิ่นแบบนี้จะชัดเจน, โดยตรง, แยกแยะออกได้ง่าย


       • Retronasal Olfaction -- กลิ่นซุกซ่อน :

          - การรับกลิ่นที่มาจากภายในช่องปากขณะที่กำลังกินอาหารหรือดื่ม โดยโมเลกุลของกลิ่นจะลอยขึ้นจากในปากผ่านทางด้านหลังของลำคอไปยังเยื่อบุโพรงจมูก ทำให้สมองรับรู้เป็น“กลิ่น”ของอาหาร

          - การรับกลิ่นแบบนี้จะละมุ่น ล่าช้า ความรู้สึกลำดับขั้นที่แรง 

          - การรับกลิ่นแบบนี้ร่วมกับการรับรู้รสชาติพื้นฐาน(หวาน, เค็ม, เปรี้ยว, ขม, อูมามิ) ก่อให้เกิดความเข้าใจเรื่อง“รสชาติ (Flavor)”โดยรวม

          - สุดท้ายถูกความทรงจำ, อารมณ์, ประสบการณ์, ร่วมกันก่อเกิดโครงสร้างของ “คาแรคเตอร์” 

▲ระบบรับกลิ่น 2 เส้นทาง : Orthonasal และ Retronasal 


   5) สรุปและเปรียบเทียบ


        กลิ่นละเหย : ก็เหมื็อนกลิ่นที่เปิดฝาขวดน้ำหอม คุณจะสามารถดมกลิ่นที่มันลอยเข้ามาตรงหน้าได้ทันที เป็น“กลิ่นแรก”ที่ฟุ้งกระจาย---นี่เป็นตัวแทนทางความประทับใจแรกพบและแรงดึงดูดของใบชา


        กลิ่นซุกซ่อน : ก็เหมือนน้ำหอมที่ป้ายลงบนผิวหนังเพียงเล็กน้อย เป็นไปตามอุณหภูมิร่างกาย มันจะแพร่“กลิ่นกลาง”และ“กลิ่นฐาน”ที่ลึกซึ้งเต็มเปี่ยมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ---นี่เป็นตัวแทนทางความนัยที่ลึกซึ้งและความคงทนของใบชา

▲ปิรามิดน้ำหอม : กลิ่นแรก/Top Notes ; กลิ่นกลาง/Middle Notes ; กลิ่นฐาน/Base Notes 


        ใบชาที่สุดยอดตัวหนึ่ง ทั่วๆไปจะผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของกลิ่นระเหยกับกลิ่นซุกซ่อน :

        - กลิ่นระเหยที่สะอาคและฟุ้งกระจาย จะดึงดูดให้คุณมาชิมชา

        - กลิ่นซุกซ่อนที่เต็มเปี่ยมและคงทน จะนำพาคุณหวนนึกถึงรสที่ตราตรึง ทำให้รู้สึกว่าชาจอกนี้“มีเนื้อหา”สมคุณค่า


Everything has its own odor, which is its soul — tree, flower, soil, rain, burning wood.

                                                                                             — Helen Keller



เอกสารอ้างอิง:

1. 水飘香与水含香http://xhslink.com/o/5bD72volSv6

2. 香气真的是靠闻,得到的吗?http://xhslink.com/o/6eH271JXQY4

3. 人类的嗅觉体验https://share.google/jj1qYn2F8WYjRKIqT

4. สรุปองค์รวมของกลิ่นชา : https://puerthaiblog.blogspot.com/2020/07/blog-post_6.html

5. 5 ระดับของกลิ่นชา : https://puerthaiblog.blogspot.com/2019/03/5.html

กลิ่นระเหย vs กลิ่นซุกซ่อน (2/3)

 


การชิมชาและความรู้สึก


        การชิมชาเป็นพฤติกรรมหนึ่งเชิงสุนทรียภาพที่มีต่อชา พฤติกรรมนี้ไม่เพียงต้องการอวัยวะรับความรู้สึกพื้นฐาน(ตา จมูก ลิ้น หู ผิวหนัง เรียกว่า“ประสาทสัมผัสทั้ง 5”)มารับรู้ความรู้สึก

        ความสุนทรียภาพที่เหนือระดับขึ้นไปอีก ที่ต้องการอาศัยภาวะ“การรับรู้ข้ามประสาท” (Synesthesia); “ความรู้สึก” (Feeling-ทั้งทางกายหรือจิตใจ); “การรู้สึกโดยองค์รวมแห่งความดื่มด่ำ

▲“ประสาทสัมผัสทั้ง 5/基础五感” และ “การรู้สึกโดยรวมขั้นสูง/高阶综合感觉” 


     • การมองเห็น (Sight) -- สี


        จุดสำคัญคือสีของใบชาแห้ง สีน้ำชา สีกากชา

        หลักการมองเห็นสีเกิดจากการที่แสงตกกระทบกับวัตถุ วัตถุดูดกลืนแสงบางสีและสะท้อนแสงบางสีออกมา จากนั้นแสงที่สะท้อนมาจะเข้าสู่ดวงตา เซลล์ประสาทรับแสงรูปกรวย (cone cells) ซึ่งอยู่ในจอประสาทตาจะรับแสงนั้นและส่งสัญญาณไปประมวลผลที่สมอง ทำให้เราสามารถมองเห็นสีของวัตถุนั้นได้

▲การมองเห็น/视觉


     • การดมกลิ่น (Smell) -- กลิ่น


        จุดสำคัญคือกลิ่นของใบชาแห้ง กลิ่นเปียก(กลิ่นฝาก้ายหว่าน กลิ่นน้ำชา); กลิ่นก้นถ้วย

        หลักการดมกลิ่นคือการที่โมเลกุลของสารที่มีกลิ่นระเหยเข้าสู่จมูกและสัมผัสกับเซลล์ประสาทรับกลิ่น (olfactory receptor cells) บริเวณเยื่อบุจมูก จากนั้นเซลล์ประสาทจะส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 (olfactory tract) ไปยังป่องรับกลิ่น (olfactory bulb) ในสมอง สมองจะประมวลผลสัญญาณนี้ โดยตีความว่าเป็นกลิ่นอะไร และสร้างการตอบสนอง ทั้งปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติและความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นนั้น ๆ 

▲การดมกลิ่น/嗅觉


     • การรับรส (Taste) -- รส


        จุดสำคัญคือรสชาติของชา

        หลักการรับรสคือการที่สารเคมีในอาหารทำปฏิกิริยากับเซลล์รับรสบนลิ้น ซึ่งส่งสัญญาณประสาทไปยังสมองเพื่อระบุรสชาติหลัก 5 รส ได้แก่ หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม และอูมามิ การรับรสจะซับซ้อนกว่านั้น โดยต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของปัจจัยอื่น ๆ เช่น กลิ่น อุณหภูมิ และพื้นผิวสัมผัสของอาหาร เพื่อให้สมองประมวลผลเป็นรสชาติที่สมบูรณ์ 

▲การรับรส/味觉
 

     • การได้ยิน (Hearing) -- เสียง


        จุดสำคัญคือเสียงของการเติมใบชา (โดยทั่วไปใช้ในการตัดสินความแข็งอ่อนของใบเส้นชาวูหลง)

        หลักการได้ยินคือกระบวนการที่คลื่นเสียงเดินทางจากหูชั้นนอกผ่านการสั่นสะเทือนที่แก้วหูและกระดูกหู 3 ชิ้น (ค้อน, ทั่ง, โกลน) ในหูชั้นกลาง ไปยังอวัยวะรูปหอยโข่ง (cochlea) ในหูชั้นใน ซึ่งจะแปลงพลังงานจากการสั่นสะเทือนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า จากนั้นส่งผ่านเส้นประสาทหูไปยังสมองเพื่อประมวลผลให้รับรู้เป็นเสียง 

▲การได้ยิน/听觉


     • การสัมผัส (Touch) -- สัมผัส


        หลักการสัมผัสด้านประสาทสัมผัสคือ การรับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 (การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส) ซึ่งอาศัยการทำงานร่วมกันของอวัยวะรับความรู้สึก (ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง) และเซลล์ประสาทเพื่อส่งข้อมูลไปประมวลผลที่สมอง ทำให้มนุษย์เข้าใจและรับรู้โลกรอบตัวได้  

▲การสัมผัส/触觉


     • การรับรู้ข้ามประสาท (Synesthesia) -- ภาวะ


        คือ สภาวะทางสมองที่ทำให้การรับรู้ประสาทสัมผัสตั้งแต่สองอย่างขึ้นไปเกิดขึ้นพร้อมกันโดยอัตโนมัติ เช่น การได้ยินเสียงเพลงแล้วเห็นเป็นสี (Chromesthesia) หรือการเห็นตัวอักษรเป็นสี (Grapheme-color synesthesia) เป็นลักษณะพิเศษที่ไม่ใช่โรคหรืออาการป่วย 

▲การรับรู้ข้ามประสาท/通感  
 

     • ความรู้สึก (Feeling) -- ชี่


        คือฉาชี่ (สามารถเข้าใจเป็นพลังงานของชา) 

        สารอาหารธัญพืชในชาที่ถูก“ม้ามและกระเพาะอาหาร/脾胃”ทำการย่อยและดูดซึมอาหาร แล้วลำเลียงอาหารไปยัง“กลางลำตัว/中焦” ต่อจากนั้นบางส่วนเข้าไปใน“เส้นลมปราณ/经脉” บางส่วนออกสู่นอกเส้นลมปราณ เกิดการไหลเวียนของ“ชี่”(พลังงานชีวิต)และเลือด เพื่อหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ก่อเกิดเป็นความรู้สึกในร่างกายมนุษย์ 

▲ความรู้สึก/体感


     • ความรู้สึกองค์รวมแห่งความดื่มด่ำ -- ความดื่มด่ำ


        - ความดื่มด่ำแห่ง : “เหยียนฉา/岩韵”; “เถี่ยกวนอิน/铁韵”; “ดอยสูง/高山韵”; “ตานฉง/丛韵”; “ความเก่า/陈韵”; ฯลฯ

        - ที่เรียกขานเป็น“ความดื่มด่ำ/” ถือเป็นสุนทรียภาพสไตล์จีน คือเป็นการร่วมกันของสุนทรียศาสตร์(สาขาหนึ่งของปรัชญา)กับจิตวิทยา 

▲ความรู้สึกองค์รวมแห่งความดื่มด่ำ/综合韵感



เอกสารอ้างอิง:

1. 品茶与感觉http://xhslink.com/o/7flH1nHHAY2