วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ซีหูหลงจิ่งมีหรือไม่มีกลิ่นกล้วยไม้?

 


       - จากที่กล่าวขานกันว่า : ซีหูหลงจิ่งมี“กลิ่นกล้วยไม้” โดยเฉพาะชาเกรดคุณภาพสูง เป็นกลิ่นที่ยากจะปรากฏ จะพบเห็นได้ต้องเป็นเพราะพรหมลิขิต

       - มีข้อโต้แย้งกันว่า : “กลิ่นกล้วยไม้”เป็นกลิ่นลักษณะเฉพาะของซีหูหลงจิ่งหรือไม่?

       - “กลิ่นกล้วยไม้” จัดเป็นกลิ่นเฉพาะบริเวณ กลิ่นสายพันธุ์ หรือ กลิ่นกรรมวิธีการผลิต?


        กลิ่นหอมของซีหูหลงจิ่งได้ถูกนิยามไว้ว่า : “หอมฉุยคงทน/馥郁持久

        ตามมาตรฐานของการประเมินชาหลงจิ่งแบบดั้งเดิม จะไม่มีคำว่า“กลิ่นกล้วยไม้” !


        “กลิ่นกล้วยไม้” เป็นคำกล่าวอ้างโดย“ปัจเจกชน” โดยธุรกิจชาใดๆ บุคคลใดๆ หรือปรมาจารย์ใดๆ เมื่อได้ผัดชาออกมาที่มีกลิ่นกล้วยไม้ เป็นกลิ่นที่แตกต่างจากกลิ่นชาหลงจิ่งที่เคยรับรู้มา จึงได้ทำการโฆษณาการขายชาหลงจิ่งของตนว่ามีกลิ่นลักษณะเฉพาะพิเศษ 


        “กลิ่นกล้วยไม้” มิใช่“คุณลักษณะทั่วๆไป”ของชาหลงจิ่ง จากนิยามกลิ่นของซีหูหลงจิ่งคือเป็นกลิ่นรูปแบบหอมฉุย ซึ่งมิใช่เป็นเพียงกลิ่นกล้วยไม้โดดๆกลิ่นเดียว

        “กลิ่นหอมฉุย” ของชาซีหูหลงจิ่งจะต้องควบถ้วนหลายระดับขั้น มันประกอบด้วยกลิ่นอ่อนโยน กลิ่นดอกไม้ กลิ่นถั่ว และมีกลิ่นเฉพาะบริเวณ กลิ่นกรรมวิธีการผลิต มาผสมผสานรวมกันเหมือนวงออร์เคสตรา ส่วนกลิ่นกล้วยไม้โดดๆก็เหมือนกับดนตรีพื้นเมือง


        ใครจะชื่นชอบชาซีหูหลงจิ่งที่มี “กลิ่นกล้วยไม้/兰花香” หรือ “กลิ่นถั่วดอกไม้/豆花香” คงเป็นความชอบส่วนบุคคล


เอกสารอ้างอิง :

1. 西湖龙井有没有“兰花香”?http://xhslink.com/a/o4YMqSUJfbtbb

กลิ่นของซีหูหลงจิ่งควรเป็นเช่นไร?

 


       ได้เข้าสู่ฤดูกาลของชาเขียวซีหูหลงจิ่งชุนฉาปี 2025 ซีหูหลงจิ่งหมิงเฉียนจำนวนมากต่างพากันติดป้ายแท็ก“กลิ่นกล้วยไม้” แล้วมีราคาสูงเกินเอื้อม  

        กรณีกลิ่นของซีหูหลงจิ่งที่ทุกคนยังคิดเห็นต่างกัน แล้วมีคำถามมากมายต่อกลิ่นของซีหูหลงจิ่ง มีบางคนหลังได้ดื่มชาใหม่แล้วเกิดข้อสงสัยว่า : ทำไมไม่มี“กลิ่นกล้วยไม้”? 

        ถ้าเช่นนั้น กลิ่นของพันธุ์ต้นชาหลงจิ่งซีหูคือกลิ่นอะไรกันแน่? กรรมวิธีการผลิตมีผลกระทบต่อกลิ่นหรือไม่? 

▲หลงจิ่งหมิงเฉียนชุนฉาเถาฉ่าย


        กลิ่นของซีหูหลงจิ่งควรเป็นเช่นไร?


        กลิ่นของชาซีหูหลงจิ่ง นอกจากพันธุ์ต้นชาจะมีลักษณะเฉพาะแล้ว ยังเกี่ยวพันถึงบริเวณ ระบบนิเวศ ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ทิศทางที่หัน พืชหญ้าที่เจริญทั่วบริเวณของสวนชา การจัดการดูแลรักษา การป้องกันโรคพืชและแมลงศัตรูพืช เป็นต้นอันเป็นปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม

        แล้วก็ช่วงเวลาการเด็ด วิธีการเด็ด มาตรฐานการเด็ด กรรมวิธีการผลิต เครื่องมืออุปกรณ์ กระทั่งการจัดเก็บใบชาแห้งในภายหลัง เป็นต้นซึ่งต่างสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าขั้นตอนใดเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ล้วนอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพของใบชา


        แต่แล้ว ประวัติศาสตร์ของซีหูหลงจิ่งที่มีมายาวนาน ทำให้การรับรู้ของผู้คนที่มีต่อกลิ่นของซีหูหลงจิ่ง ทั่วๆไปจะได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์ของยุคสมัยอันใกล้กว่าได้โดยง่าย จนกระทั่งคิดว่าของอันใกล้เป็นของ“ดั้งเดิม

        อาทิเช่น “กลิ่นถั่วเหลืองคั่ว”ที่แพร่หลายตามห้องทำชา ก็จัดเป็นผลกระทบหนึ่งในช่วงเวลาเฉพาะหนึ่ง ทำให้เกิดความคลุมเครือของการระลึกถึงของอวัยวะประสาทสัมผัส

        ความเป็นจริง ชาซีหูหลงจิ่งที่หอมกรุ่นรสสด กลิ่นลักษณะเฉพาะจากการผลิตควรเป็นกลิ่นมวลดอกไม้สดหรือกลิ่นถั่วดอกไม้---เป็นกลิ่นหอมฉุยที่ทำให้รู้สึกสดชื่น มีบางกลิ่นเสมือนกับกลิ่นดอกไม้ของพืชฝักตระกูลถั่วฤดูใบไม้ผลิ หรือกลิ่นสดของน้ำถั่วดิบที่ถูกสกัดออกมาใหม่ๆ

        กลิ่นหอมที่คลาสสิกลักษณะนี้ของซีหูหลงจิ่ง โดยมีชาจากสวนชาหน้าวัดหูกงในเขตซือฟงจะสำแดงออกมาได้เด่นชัดที่สุด

▲ชาซีหูหลงจิ่ง---สามารถดมได้“กลิ่นดอกไม้/花香”ของพืชฝักตระกูลถั่วฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งก็คือ“กลิ่นถั่วดอกไม้/豆花香” 


        ถ้าเป็นเช่นนั้น “กลิ่นถั่วเหลืองคั่ว”ที่แพร่หลายกันอย่างกว้างขวางมาได้อย่างไร?


        เมื่อ 20 ปีก่อน วิธีการรักษาความสดของใบชาแห้งยังค่อนข้างล้าหลัง ซีหูหลงจิ่งที่เริ่มออกสู่ตลาดในต้นเดือน เม.ย. แล้วต้องเผชิญกับหน้าฝนเหมย(ฝนปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน)ทันทีที่จะมาในเดือน พ.ค. สภาพอากาศช่วงหน้าฝนเหมยจะมีความชื้นสูงมาก ซึ่งใบชาก็เป็นวัตถุที่มีความสามารถในการดูดซับได้ดี โมเลกุลน้ำในอากาศที่พกอะตอมออกซิเจนติดตัวผ่านเข้าไปในใบชา จะทำให้คุณภาพใบชาเปลี่ยนได้ง่าย

        หลังหน้าฝนเหมย ฤดูร้อนก็ทยอยตามมา สภาพแวดล้อมที่ชื้นสูง ร้อนสูงทำให้สารโพลิฟีนอลส์เกิดการออกซิไดซ์เร็วยิ่งขึ้น ทำให้กลิ่นหอมใบชาสูญหายไป กระทั่งปรากฏกลิ่นอับชื้นที่ทำให้ผู้คนไม่สบายใจ

        ส่วนชาที่คุณภาพยิ่งดี กลิ่นหอมยิ่งเข้มข้น เมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง คุณภาพจะลดลงในขอบเขตยิ่งกว้าง ทั่วๆไปจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของพ่อค้าโดยตรง ก่อให้เกิดการโต้แย้งทางการค้า


        “กลิ่นถั่วเหลืองคั่ว”ที่แท้เป็นทางเลือกในสภาพจำยอมจากการถูกตลาดบังคับเร่งเร้า

        เพื่อมิให้เกิดการโต้แย้ง ผู้ผลิตได้ตระหนักถึงการผัดใบชาให้สุกมากขึ้นอีกนิด เดิมควรที่จะเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ทำให้สดใสเปลี่ยนเป็นกลิ่นถั่วสุก เป็นการเพิ่มความเสถียรของผลิตภัณฑ์ หลีกหนีความเสี่ยงทางการค้า

        นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงทางด้านเทคนิคแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าไฟแรงสูงจะไปลดทอนกลิ่นหอมจุดเด่นของชาเกรดพรีเมี่ยม และในขณะเดียวกันก็จะไปปกปิดปมด้อยของวัตถุดิบชาเกรดต่ำบางส่วนที่เป็นใบแก่ 

        นานวันเข้า กลิ่นถั่วเหลืองคั่วลักษณะที่เสมือนกับกลิ่นข้าวตัง ทำให้ตกตะกอนในสภาวะเป็นที่ยอมรับของตลาด กลับกลายเป็นกลิ่น“คลาสสิก”ของซีหูหลงจิ่ง


        ความเป็นจริง ชาทั้งหมดเมื่อกระทบไฟแรงสูงแล้ว ล้วนสามารถทำกลิ่นราวกับถั่วเหลืองคั่วออกมา มิใช่มีเพียงเฉพาะในซีหูหลงจิ่ง ยิ่งไม่ใช่กลิ่นลักษณะเฉพาะที่ชาหลงจิ่งควรมี

        ตราบจนถึงทุกวันนี้ วิธีการรักษาความสดของใบชาแห้งมีการปรับปรุงแก้ไขอย่างมาก ใบชาที่จัดเก็บ 1 ปีภายใต้ภาวะที่ปลอดออกซิเจน ปิดผนึกมิดชิด อุณหภูมิต่ำ ยังคงดำรงรักษากลิ่นไว้ที่ใกล้เคียงกับชาใหม่ คุณภาพมีเสถียรภาพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องค้นหาเสถียรภาพรูปแบบ“กลิ่นถั่วเหลืองคั่ว”ของวิธีการรักษาความสดของใบชาแห้งยุคไม่ค่อยดีในอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว 


        “สีข้าวกล้อง” คือคุณภาพสูงสุด?


        ถูกต้อง ชาซีหูหลงจิ่งโดยหลงจิ่งพันธุ์ฉินถี่ของเขตซือฟงถือเป็นที่สุด เพียงกรรมวิธีการผลิตถูกต้อง แล้วกลิ่นที่หอมฉุย รสชาติที่ละมุ่นสดชื่น ซึ่งพันธุ์อื่นๆจะมาทดแทนได้ยาก 

        หลงจิ่ง43 จงฉา108 เป็นต้นอันเป็นพันธุ์ไม่อาศัยเพศที่นิยมในปัจจุบัน ได้จากการปรับปรุงพันธุ์ต้นชาหลงจิ่งพันธุ์ฉินถี่ของเขตซีหู จัดอยู่ในเชื้อสายวงศ์ตระกูลเดียวกัน กลิ่นลักษณะเฉพาะที่ค่อนข้างเหมือนกันล้วนเหมาะสมนำมาผลิตเป็นชาซีหูหลงจิ่ง 

▲พันธุ์ต้นชาหลงจิ่ง--- หลงจิ่ง108/龙井108 ; หลงจิ่ง43/龙井43 ; พันธุ์ฉินถี่/群体种


        ของที่ดีที่สุดกับของที่แย่ที่สุดทั่วๆไปจะมีหน้าตาที่เหมือนกัน

        ชาหลงจิ่งที่ทำจากใบสดของหลงจิ่งพันธุ์ฉินถี่ของเขตซือฟง ใบชาแห้งสำแดงสีข้าวกล้อง ประจวบพอดีเสมือนกับสีของชาหลงจิ่งที่ทำการผัดมากเกินไป

        และแล้ว สองสิ่งแม้มีลักษณะที่ออกสีข้าวกล้องเหมือนกัน หลงจิ่งพันธุ์ฉินถี่ดำรงไว้ซึ่งกลิ่นถั่วดอกไม้ที่ภูมิฐานของซีหูหลงจิ่ง หลงจิ่งที่ทำการผัดมากเกินไปด้วยไฟแรงสูงจะออกกลิ่นถั่วเหลืองคั่ว คุณภาพจึงยิ่งเสมือนราวกับสวรรค์กับนรก 

▲สีใบชาแห้งซือฟงหลงจิ่งพันธุ์หลงจิ่ง43ผลิตด้วยมือล้วนโดยปรมาจารย์--- เหลืองข้าวกล้อง/糙米色


        การประยุกต์ทางการตลาด ชาหลงจิ่งไฟแรงสูงที่ออกสีเหลืองและมีรสชาติเข้ม ทั่วๆไปจะถูกขายโดยการตีตรา“ซือฟงหลงจิ่ง” ผู้บริโภคซึ่งไม่ทราบความเป็นไป วันแล้ววันเล่าชาหลงจิ่งที่ผัดมากเกินไป ซึ่งนำพากลิ่นถั่วเหลืองคั่วหรือกลิ่นข้าวตังติดตัว กลับข้ามหน้าข้ามตากลายเป็นกลิ่นลักษระเฉพาะของซีหูหลงจิ่ง

        เป็นความโชคดีภายใต้ความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คนทำชายุคใหม่ที่เริ่มตระหนักย้อนกลับสู่ดั้งเดิมที่แท้จริง หลีกเลี่ยงการผัดชาที่อุณหภูมิสูงที่ไปทำลายกลิ่นถั่วดอกไม้ที่สละสลวยของซีหูหลงจิ่ง 


        กลิ่นถั่วและกลิ่นถั่วดอกไม้แตกตต่างกันอย่างไร?


        วัตถุดิบของชาเขียวโดยใช้ยอดอ่อนเป็นหลัก ลักษณะเฉพาะของพันธุ์ต้นชาสามารถครอบคลุมถึง“โทนกลิ่นอ่อนโยน” พันธุ์ต่างกันโทนกลิ่นอ่อนโยนที่ปรากฏออกมาก็ไม่เหมือนกัน #5

        กล่าวจากมุมมองของกรรมวิธีการผลิต การเปลี่ยนของกลิ่นที่ผ่านการฆ่าเขียวจากกลิ่นหญ้าสด→กลิ่นหวานหอม→กลิ่นดอกไม้→กลิ่นอ่อนโยน→กลิ่นไฟเกิน→กลิ่นไฟแรง เป็นไปตามลำดับขั้น

        ชาเขียวแทบทั้งหมดที่ผัดถึงไฟแรง ล้วนปรากฏ“กลิ่นถั่วเหลืองคั่ว” ซึ่งช่วงระยะของ“กลิ่นอ่อนโยน”เป็นตัวแทนทางลักษณะเฉพาะของพันธุ์ต้นชาได้ดีที่สุด จะมากไปน้อยไปก็ไม่ดีทั้งสิ้น

        หลงจิ่งพันธุ์ฉินถี่ หลงจิ่ง43 เป็นต้นที่เป็นพันธุ์ที่เหมาะผลิตเป็นชาซีหูหลงจิ่ง ซึ่งโทนกลิ่นอ่อนโยนคือกลิ่นถั่วดอกไม้ 

▲กลิ่นที่ได้จากการผัดชาด้วยไฟอ่อนถึงไฟแรง---กลิ่นหญ้าสด/青气→กลิ่นหวานหอม/清香→กลิ่นอ่อนโยน/嫩香→กลิ่นไฟเกิน/足火→กลิ่นไฟแรง/高火


        “กลิ่นถั่ว/豆香” คือกลิ่นที่เสมือน “กลิ่นถั่วเหลืองคั่ว/炒黄豆香” ถือเป็นกลิ่นกรรมวิธีการผลิต พูดตรงไปตรงมาว่าชาเขียวตามท้องตลาดจำนวนไม่น้อยล้วนผัดออกมาจะมีกลิ่นถั่วที่แรงเข้ม

        “กลิ่นถั่วดอกไม้/豆花香” เป็นกลิ่นธรรมชาติในตัวของชาหลงจิ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับกลิ่นถั่วตรงๆ แต่เป็นกลิ่นหอมกรุ่นจากผสมผสานของกลิ่นหอมดอกไม้กับกลิ่นถั่วอ่อน ตัวสำคัญคือดอกไม้ แต่มิใช่ถั่ว

        ซีหูหลงจิ่งจะประกอบด้วยสารให้กลิ่นซีดรอล(Cedrol) ลูกจันทร์เทศจีน(Torreya grandis) ที-คาดินอล(T-Cadinol) ยูเดสมอล(Eudesmol) เป็นต้นซึ่งชาเขียวชนิดอื่นไม่มี


        ขั้นตอนสุดท้าย---การจัดเก็บเข้าที่ในขี้เถ้า


        “การจัดเก็บเข้าที่ในขี้เถ้า/收灰”เป็นขั้นตอนหนึ่งที่จำเป็นของชาซีหูหลงจิ่ง และก็เป็นทางเลือกของประวัติศาสตร์ มีความหมายในการกระตุ้นใบชาหลังการผัดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกขั้น เพื่อให้คุณภาพเพิ่มสูงขึ้น ทำนองเดียวกันกับ“การบ่ม/后熟”ของผลไม้ให้เกิดการสุก


        การเปลี่ยนแปลงของใบชาจะอยู่คู่กับพลังงาน(ความร้อน) และเวลาที่เป็น 2 ปัจจัยสำคัญ

        ในอดีต เครื่องมืออุปกรณ์การผลิตเป็นแบบดั้งเดิม อุณหภูมิและเวลาในการผัดชาค่อนข้างอนุรักษ์ ใบชาแม้อบแห้งแล้วแต่อาจยังไม่เพียงพอ ส่วนที่ไม่เพียงพอจึงต้องอาศัยปูนขาวมาดำเนินการให้เสร็จสิ้นขั้นตอนสุดท้ายนี้ ให้ใบชาค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละน้อยจนถึงที่ในโอ่งปูนขาว

        ส่วนเครื่องมือการผลิตชาในปัจจุบันมีความก้าวหน้า อุณหภูมิกระทะของเครื่องจักรฆ่าเขียวจะค่อนข้างสูง ปฏิกิริยาตอบสนองของใบชาหลังใส่ลงบนกระทะจะยิ่งรุนแรง ทำให้ลดระยะเวลาในการผัดชาอย่างแน่นอน แต่การแปรเปลี่ยนในเนื้อในยังตามไม่ทันจังหวะท่วงทำนอง ยังต้องขอยืมแรงของปูนขาว เพื่อให้ใบชามีเวลาในการยืดหยุ่นมากขึ้น คุณภาพค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น


        แต่ทว่า ชาเขียวหมิงเฉียนที่ราคาแพงมากๆ นับเริ่มการเปิดสวนทั่วๆไปผู้ผลิตจะอยู่ในสภาวะที่เร่งรีบทำการผลิต พ่อค้าต่างถิ่นจำนวนมากเข้าไปในเขตชาซีหูเพื่อแย่งกันซื้อ ชาใหม่ที่เพิ่มทำออกมาก็ถูกรักษาความสดโดยเก็บในห้องเย็นทันที แทบไม่มีเวลาสำหรับการจัดเก็บเข้าที่ในขี้เถ้า กลับละเลยการบ่มสุกชาซีหูหลงจิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง

        แน่นอน การจัดเก็บเข้าที่ในขี้เถ้าก็มิใช่ยาสารพัดนึก โดยทั่วไปคุณภาพจะบรรลุจุดสูงสุดภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ แล้วรีบทำการหีบห่อ รักษาความสด เพื่อหลีกเลี่ยงปรากฏกลิ่นเก่าเมื่อผ่านระยะเวลาที่นาน เป็นการไม่เสียความตั้งใจในการจัดเก็บเข้าที่ในขี้เถ้า 

▲ขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธีการผลิตซีหู(ซือฟง)หลงจิ่งที่สืบทอดเป็นพันปี---การเก็บเข้าที่ในขี้เถ้า/贮藏收灰


 

เอกสารอ้างอิง :

1. 春茶一二事 : 你问的“兰花香” , 和我说的“豆花香”https://cj.sina.cn/article/norm_detail?url=https%3A%2F%2Ffinance.sina.com.cn%2Fwm%2F2022-04-16%2Fdoc-imcwipii4620913.shtml&from=redirect

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2568

อะไรคือชาซีหูหลงจิ่ง?


       -  “หลงจิ่ง” กับ “ซีหูหลงจิ่ง” แตกต่างกันอย่างไร?

        - เกรดสูงสุดของหลงจิ่ง เป็นชาใช้ยอดใบล้วนหรือไม่?

        - จากราคาหลักร้อยถึงหลักหมื่นหยวน ชาหลงจิ่งทำไมถึงมีราคาต่างกันมากมายเช่นนี้?


        การคัดเลือกสิบสุดยอดชาดังของจีนแต่ไหนแต่ใดมา ซีหูหลงจิ่งล้วนถูกจัดอยู่ในทำเนียบนี้เสมอมา และจัดอยู่ในอันดับตันเป็นซะส่วนใหญ่ 

▲ซีหูหลงจิ่ง/西湖龙井--- สุดยอดใน 10 ชาดังของจีน


        ชาดังซีหูหลงจิ่ง ชื่อสียงเป็นที่เลื่องลือระบือไกล ส่วนสำคัญที่สุดคือมีบุคคลสำคัญ 3 ท่านที่อยู่เบื้องหลัง : หนึ่งคือนักพรต หนึ่งคือนักปราชญ์ อีกหนึ่งคือจักรพรรดิ


        พระภิกษุผู้มีฉายาว่า“เปี้ยนฉาย” เป็นพระมหาเถระอันเป็นที่นับถือเคารพยิ่งในยุคซ่งเหนือ ส่วนนักปราชญ์ก็คือ“ซูตงพอ” ขณะนั้นดำรงเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในเมืองหางโจว บุคคลสำคัญ 2 ท่านนี้เป็นเพื่อนต่างวัยที่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

        เปี้ยนฉาย ในบั้นปลายชีวิตได้ดำรงอยู่อย่างสันโดษที่หมู่บ้านหลงจิ่งซีหู ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆบ่อมังกรที่อยู่ตีนเขาซือฟง บุกเบิกทำสวนชา ต้นชารุ่นที่ท่านได้ปลูกไว้ช่วงเวลานั้น ก็คือจุดเริ่มต้นของชาหลงจิ่ง

        ซูตงพอ ไปเยี่ยมเยียนเปี้ยนฉายเป็นประจำเพื่อพูดคุยและชิมลิ้มรสชา ได้ประพันธ์กวีนิพนธ์ที่สรรเสริญความสุนทรียะของชาเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาที่ผลิตจากหลงจิ่งนี้มีชื่อเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย 

▲เพื่อนและก๊วนชาที่ต่างวัย--- (ซ้าย) พระมหาเถระ “เปี้ยนฉาย/辩才” ; (ขวา) นักกวีผู้ยิ่งใหญ่ “ซูตงพอ/苏东坡


        แล้วจักรพรรดิคือพระองค์ใดเล่า? เป็นพระองค์ใดไม่ได้นอกจาก“จักรพรรดิเฉียนหลง”ที่ทรงบ้าการประทับตรา

        จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงชื่นชอบชาหลงจิ่งเป็นอย่างมาก “การเสด็จประพาสเมืองใต้ 6 ครั้ง/六下江南” ได้เสด็จไปหมู่บ้านหลงจิ่งถึง 4 ครั้ง ได้ทรงยกให้ต้นชา 18 ต้นเป็นชาจักรพรรดิ ทันใดที่ชาจักรพรรดิได้รับการแต่งตั้ง ก็เท่ากับชาหลงจิ่งได้รับการประทับตราพระราชลญจกรของจักรพรรดิเฉียนหลงเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนหลงจิ่ง 

▲จักรพรรดิเฉียนหลง--- ได้โปรดให้ต้นชาหลงจิ่ง 18 ต้นหน้าวัดหูกง(胡公庙)เป็น “ต้นชาจักรพรรดิ 18 ต้น/十八棵御茶树


        พระมหาเถระ นักกวีผู้ยิ่งใหญ่ จักรพรรดิ บุคคลสำคัญ 3 ท่านนี้ที่ช่วยเผยแพร่ ชาหลงจิ่งจึงมีชื่อขจรขจาย สามารถที่กล่าวได้ว่า : การมีชื่อเสียงของหลงจิ่ง “การดื่มดีเป็นเพียงพื้นฐาน วัฒนธรรมจึงเป็นแก่นสาร


        เมื่อ“ซีหูหลงจิ่ง”ที่มี“ซีหู”อักษร 2 ตัวเพิ่มขึ้นมา แล้วมันกับ“หลงจิ่ง”ที่แท้แตกต่างกันอย่างไร?---ความแตกต่างแบ่งออกเป็น 3 ด้าน :


        1) เขตพื้นที่ผลิต


        อ้างอิงตามมาตรฐานแห่งชาติ เขตพื้นที่ผลิตของชาหลงจิ่งครอบคลุมถึง 18 เขตอำเภอของมณฑลเจ้อเจียง ในนี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวซึ่งเป็นเขตพื้นที่ผลิตใจกลางที่สำคัญที่สุด ก็คือเขตพื้นที่ผลิตซีหูในเมืองหางโจว ก็มีเพียงชาที่ผลิตจากเขตพื้นที่นี้จึงจะสามารถเรียกขานเป็น“ซีหูหลงจิ่ง” 

        เขตพื้นที่ 8 อำเภอที่อยู่รอบนอก รวมเรียกว่าเขตพื้นที่ผลิตเฉียนถัง แล้วเขตพื้นที่ 9 อำเภอที่อยู่รอบนอกออกไปอีก รวมเรียกเป็นเขตพื้นที่ผลิตเย่วโจว 

▲ชาหลงจิ่งทั้งหมดในจีน--- หลงจิ่งซีหู/西湖龙井 ; หลงจิ่งเจ้อเจียง/浙江龙井 ; หลงจิ่งอื่นๆ/其他龙井 (นอกมณฑลเจ้อเจียง)

▲เขตพื้นที่ผลิตชาหลงจิ่งกระจายออกเป็น--- เขตพื้นที่ผลิตซีหู/西湖产区 ; เขตพื้นที่ผลิตเฉียนถัง/钱塘产区 ; เขตพื้นที่ผลิตเย่วโจว/越州产区 


        ลักษณะพิเศษลำดับ 1 ที่ซีหูหลงจิ่งแตกต่างจากหลงจิ่ง ก็คือ “น้อย/” แน่นอนว่าน้อยส่วนน้อย ภายในเขตพื้นที่ผลิตซีหูก็ยังมีการแบ่งออกเป็นระดับสูงต่ำ ซึ่งก็คือที่เรียกขานกันว่า เขตพื้นที่ผลิตชั้น 1, 2

        • เขตพื้นที่ผลิตชั้น 1 บ่งชี้ถึง “ซือ, หลง, อวิ๋น, หู่, เหมย” เป็น 5 เขตพื้นที่ผลิตใจกลางที่สำคัญ

        • เขตพื้นที่ผลิตชั้น 2 บ่งชี้ถึงเขตพื้นที่ผลิตที่อยู่นอก 5 เขตใจกลาง 

▲เขตพื้นที่ผลิตชั้น 1/一级产区 แยกออกเป็น 5 เขตบนใจกลางเขตพื้นที่ผลิตซีหู(4เดิม+1)--- ซือฟง/狮峰 ; หลงจิ่ง/龙井 ; อวิ๋นซี/云栖 ; หู่ผ่าว/虎跑 ; เหมยเจียวู่/梅家坞 (เพิ่มเข้ามาทีหลัง เมื่อยุคปี 50 ศตวรรษที่แล้วที่ได้ปลูกชาหลงจิ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ผลผลิตคิดเป็น 37% ของผลผลิตรวมของเขตชั้น 1)


        2) พันธุ์ต้นชา


        ชาหลงจิ่งมีมาตรฐานแห่งชาติ ซีหูหลงจิ่งก็มีมาตรฐานท้องถิ่นของตนเองที่เข้มงวดกว่า

        พันธุ์ต้นชาที่ต้องการในมาตรฐานแห่งชาติ อาทิเช่น พันธุ์ฉินถี่ หลงจิ่ง43 เป็นต้นที่เป็นต้นชาพันธุ์เด่น โปรดสังเกตว่า ในนี้มีคำว่า“เป็นต้น” ก็คือความหมายที่ครอบคลุมที่ไม่มีข้อจำกัด

        ส่วนมาตรฐานท้องถิ่นได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ซีหูหลงจิ่งจะต้องใช้เพียง“พันธุ์ฉินถี่” “หลงจิ่ง43” และ “หลงจิ่งใบยาว” มาผลิต

        ดังนั้น ความแตกต่างของซีหูหลงจิ่งกับหลงจิ่งอันดับ 2 ก็คือคำว่า“เข้มงวด/严格” 

▲พันธุ์ฉินถี่/群体种 vs หลงจิ่ง43/龙井43--- แยกเป็นต้นๆ/独栋 ; เรียงติดเป็นแถว/联排


        พันธุ์ต้นชาก็มีการแยกออกเป็นระดับสูงต่ำ

        - พันธุ์ฉินถี่ มีรสชาติที่เต็มเปี่ยมที่สุด แต่ยอดใบจะงอกออกมาช้า ผลผลิตต่ำ 

        - หลงจิ่ง43 แม้รสชาติค่อนข้างเรียบ แต่ยอดใบจะงอกออกมาเร็วกว่า ผลผลิตมากกว่า รูปลักษณ์ทำออกมาดูดีกว่า 

        - หลงจิ่งใบยาว มีจุดด้อยที่เด่นชัดมาก ก็คือมีรสชาติอ่อนเกินไป 

        ดังนั้น ทั่วเขตพื้นที่ผลิตซีหูในปัจจุบัน กล่าวถึงด้านราคาแล้ว พันธุ์ฉินถี่จะสูงที่สุด กล่าวถึงด้านผลผลิตแล้ว หลงจิ่ง43จะสูงที่สุด ส่วนหลงจิ่งใบยาวเบื้องต้นถูกถอนรากถอนโคนจนหมดแล้ว 

▲พันธุ์ฉินถี่/群体种 vs หลงจิ่ง43/龙井43--- ใบสด/鲜叶 ; ใบชาแห้ง/干茶


        3) กรรมวิธีการผลิต


        ซีหูหลงจิ่งโดยเฉพาะชาหมิงเฉียน(ก่อนเชงเม้ง) โดยส่วนใหญ่จะทำการ“ผัดชา”ด้วยมือเปล่า แล้วหลงจิ่งทั่วไปล่ะ ส่วนใหญ่จะผลิตด้วยเครื่องจักร 

▲กรรมวิธีการผลิตซีหูหลงจิ่ง

        เป็นที่ทราบกันแล้วว่า หลงจิ่งจัดเป็นชาเขียวที่ผ่านการผัดชาแล้วมีรูปลักษณะแบน กรรมวิธีการผลิตที่เป็นหัวใจสำคัญมีอยู่ 2 ขั้นตอน คือกรรมวิธีการผัดชา “ชิงกัว” กับ “ฮุยกัว” 

▲ใบสด/鲜叶 → ฆ่าเขียว/杀青 หรือ ชิงกัว/青锅 → ฮุยกัว/辉锅

        2 กรรมวิธีการผัดชานี้ ไม่ว่าขั้นตอนไหนล้วนต้องอาศัยประสบการณ์ที่ช่ำชองมากๆ ต้องใส่ใจต่ออุณหภูมิและควบคุมวิถีมือในกระบวนการผัดชาอย่างมาก การควบคุมที่พิถีพิถันแบบนี้ เป็นสิ่งที่เครื่องจักรยังไม่สามารถทำได้เป็นการชั่วคราวในปัจจุบันนี้

        กรรมวิธีการผลิตที่แสนประณีตบรรจง งั้นก็ทำให้จุดเด่นโดยกำเนิดของใบชาสามารถสำแดงพลังออกมาเต็มที่กว่าตามธรรมชาติ

        ดังนั้น ความแตกต่างของซีหูหลงจิ่งกับหลงจิ่งอันดับ 3 ก็คือคำว่า“ประณีต/细致” 

▲วิถีมือ 10 กระบวนท่าในกระบวนการ“ผัดชา/炒制”ด้วยมือเปล่าที่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญอย่างสูง  


        ขอสรุปก่อนซะเล็กน้อยว่า : ทำไมซีหูหลงจิ่งถึงแพง?


        ผลผลิตน้อย พันธุ์ต้นชาเข้มงวด กรรมวิธีการผลิตประณีต ประสบการณ์สัมผัสการชิมดื่มที่เลิศเลอกว่า งั้นจึงมีราคาที่ยิ่งแพงโดยธรรมชาติ

        อะไรคือประสบการณ์สัมผัสการชิมดื่มที่เลิศเลอกว่า?

        ขอยกตัว อย่างเช่นชาหมิงเฉียนจากเขตพื้นที่ผลิตซือฟง รวมถึงไป่เห้อฟง เมื่อได้ดื่มเข้าไปแล้วได้สัมผัส “กลิ่นเด่นรสนุ่ม” และ “ละมุ่นสดชื่น” อันเป็นความสุขชั้นยอดอย่างแท้จริง

        ชาซีหูหลงจิ่งระดับบนที่เป็นของแท้เหล่านี้ กลิ่นหอมของมันมิใช่กลิ่นถั่วที่ไม่ซับซ้อนที่เพื่อนชาจำนวนมากระลึกถึง แต่เป็น“กลิ่นถั่วดอกไม้/豆花香” คือมี“กลิ่นถั่ว”อันเป็นกลิ่นที่มีอยู่เดิม ขณะเดียวกันยังมี“กลิ่นกล้วยไม้”ซ่อนเร้นอยู่ภายใน 

▲กลิ่นหอมของซีหูหลงจิ่งคุณภาพสูง--- โน้ตกลิ่นถั่ว/豆香型 ; โน้ตกลิ่นกล้วยไม้/兰花香型 ; โน้ตกลิ่นเกาลัดจีน/板栗香型


        มีสิ่งหนึ่งที่ขอเตือนไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นหลงจิ่งอะไรล้วนไม่มีชายอดใบล้วน 


        ในมาตรฐานแห่งชาติกำหนดไว้ว่า วัตถุดิบของเกรดพิเศษเป็น“1ยอด-1ใบเพิ่งคลี่” แล้วมาตรฐานท้องถิ่นที่เข้มงวดล่ะ แม้ไม่มีการกำหนดอัตราส่วนของยอดต่อใบอย่างชัดเจน แต่สามารถสังเกตจากรูปลักษณะของกากชาเกรดพรีเมี่ยม ตามคำกล่าวที่ว่า “เป็นดอกอ่อนเยาว์” 

▲มาตรฐานการเด็ดใบสดชาซีหูหลงจิ่ง--- 1ยอด-1ใบเพิ่งคลี่/一芽一叶初展 ; 1ยอด-1ใบ/一芽一叶 ; 1ยอด-2ใบเพิ่งคลี่/一芽二叶初展 ; 1ยอด-2ใบ/一芽二叶

▲การแบ่งเกรดซีหูหลงจิ่ง(ชาเขียวใบแบน)--- เกรดพรีเมี่ยม/精品 ; เกรดพิศษ/特级 ; เกรด 1/一级 ; เกรด 2/二级


        การจำแนกซีหูหลงจิ่งเป็นของแท้หรือไม่ได้อย่างไร โดยการพิจารณา 3 จุด :

        • ฉลาก : ที่ออกให้โดยทางการสำหรับองค์กรธุรกิจชาและเกษตรกรชา บนฉลากมีเลขรหัสที่สามารถสอบทานได้ในเวบเพจ : www.xhlj.org.cn 

▲ฉลากรับประกันเป็นซึหูหลงจิ่งของแท้--- ซ้ายใช้สำหรับเกษตรกรชา/茶农用 ; ขวาใช้สำหรับองค์กรธุรกิจชา/茶企用

        • รูปลักษณ์ : ก็คือสีและเนื้อสัมผัสพื้นผิวของใบชาแห้ง ซีหูหลงจิ่งอันเนื่องจากได้จากการผัดชาด้วยมือ งั้นสีจะไม่เขียวเกินไป แต่จะค่อนไปทางเหลือง ทำนอง“เหลืองข้าวกล้อง”ตามที่กล่าวขานกัน แล้วมันมีเนื้อสัมผัสที่เสมือนกับผิวขัดด้วยทราย เมื่อสัมผัสผิวแล้วไม่ราบรื่น 

▲สีใบชาแห้งซือฟงหลงจิ่งพันธุ์ฉินถี่ผลิตด้วยมือล้วนโดยปรมาจารย์--- เหลืองข้าวกล้อง/糙米黄

        • กากชา : ซีหูหลงจิ่งหลังผ่านการชงแล้ว กากชาจะต้องมีใบ ใบยิ่งอ่อนรูปใบจะยิ่งเล็ก โดยเฉพาะเป็นชาเกรดพิเศษ ยอดของมันจะใหญ่กว่าใบ 

▲ซีหูหลงจิ่งแท้/真西湖龙井 vs ซีหูหลงจิ่งปลอม/假西湖龙井


        แน่นอน วิธีการที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือการดื่ม ผู้คนที่เคยดื่มซีหูหลงจิ่งของแท้มาแล้ว เมื่อมาดื่มชาที่อยู่เขตพื้นที่ผลิตรอบนอก ดื่มคำเดียวรู้เลยว่าเป็นของแท้หรือของปลอม !!


▲ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เลือก "ชาหลงจิ่ง" เป็นเครื่องดื่มต้อนรับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ที่เดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำประเทศกลุ่ม G-20 ที่ประเทศจีน ในปี 2016



เอกสารอ้างอิง :

1. 西湖龙井http://xhslink.com/a/C73MrtcqQjgab%EF%BC%8C%E5%A4%8D%E5%88%B6%E6%9C%AC%E6%9D%A1%E4%BF%A1%E6%81%AF%EF%BC%8C%E6%89%93%E5%BC%80%E3%80%90%E5%B0%8F%E7%BA%A2%E4%B9%A6%E3%80%91App%E6%9F%A5%E7%9C%8B%E7%B2%BE%E5%BD%A9%E5%86%85%E5%AE%B9%EF%BC%81

2. 西湖龙井为什么这么贵?https://www.360doc.cn/article/71945343_1122062955.html

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

ทำไมในใบชามีกลิ่นกล้วยไม้?

 


        ไม่ว่าจะเป็นผู้ชื่นชอบใบชาหรือเป็นผู้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องชา ล้วนคงเคยได้ยินว่า ใบชาบางชนิดมีกลิ่นหอมที่เสมือนกับกลิ่นกล้วยไม้  กลิ่นกล้วยไม้เป็นกลิ่นหอมชนิดหนึ่งที่คนชาจำนวนมากชื่นชอบตลอดมา


        ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นกล้วยไม้ในใบชามีเป็นจำนวนมากที่ผู้คนยังสงสัยอยู่ อย่างเช่น :--- 

        - ชาเขียวเกรดพรีเมี่ยมจำนวนมากล้วนผลักดันกลิ่นกล้วยไม้ ซึ่งล้วนมีราคาแพงหูฉี่หรือเป็นชาประเภท“ราคาสูงอุปสงค์น้อย/有价无市” แล้วจะมีชาดีที่ไม่ค่อยดัง ที่ราคาแพงเล็กน้อยแต่สามารถชิมลิมรสกลิ่นกล้วยไม้หรือไม่?

        - เกิดอะไรขึ้นกับกลิ่นถั่ว กลิ่นเกาลัด กลิ่นกล้วยไม้ในใบชา?

        - ใบชาอะไรบ้างที่มีกลิ่นกล้วยไม้?


        ในบรรดาชาวูหลง ใบชาที่คุ้นเคยที่สุดที่มีกลิ่นกล้วยไม้ก็คือเถี่ยกวนอิน ขณะเดียวกัน ชาเขียวเกรดพรีเมี่ยมบางชนิด อย่างเช่น ไท่ผิงโหวขุย; ซูเฉินเสี่ยวหลานฮวา ; ซีหูหลงจิ่ง  เป็นต้นที่ล้วนมีกลิ่นกล้วยไม้อันเป็นเอกลักษณ์

        แต่ทว่า ทำไมใบชาถึงมีกลิ่นหอมที่เสมือนกลิ่นกล้วยไม้เล่า สารประกอบเคมีที่สำคัญคืออะไร? 

        ในอดีตยังขาดผลสรุปจากข้อมูลการทดลองและทฤษฎีมาสนับสนุน แต่ปัจจุบันรู้สาเหตุที่ใบชามีกลิ่นกล้วยไม้ติดตัวได้จากบทความ《Characterization of the orchid-like aroma contributors in selected premium tea leaves》ที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร《Food Research International》ที่เผยแพร่เมื่อ มี.ค. 2020  


        ก่อนอื่น เมื่อพวกเราได้ยินคำว่า“กลิ่นกล้วยไม้/兰花香” การตอบสนองของสมองออกมาครั้งแรกเป็นกลิ่นกล้วยไม้สายพันธุ์อะไร?---ร้อยทั้งร้อย : “ไม่รู้ครับ

        แม้นพวกเราสามารถพรรณนาถึงใบชาที่คุณภาพสูงบางชนิดนำพาด้วยกลิ่นกล้วยไม้ที่พิเศษเฉพาะ แต่ไม่สามารถรู้โดยพื้นฐานเป็นการบ่งชี้ถึงกล้วยไม้อะไร : สกุลเขากวางอ่อน ; สกุลออนซิเดียม หรือสกุลอื่นๆ?


       • เริ่มต้น การศึกษาวิจัยครั้งนี้ทำการตรวจสอบ : กลิ่นกล้วยไม้ในใบชาที่แท้เกี่ยวพันธ์กับกลิ่นหอมของกล้วยไม้สายพันธุ์ไหนบ้าง

        จึงได้รวบรวมตัวอย่างสารให้กลิ่นของกล้วยไม้ 5 สายพันธุ์และใบชา 5 ชนิดเพื่อมาทำการเปรียบเทียบ

        กล้วยไม้ 5 สายพันธุ์ล้วนมาจากสกุล Cymbidium คือ กล้วยไม้ C. sinense (พันธุ์กะเรกะร่อนนิล) ; กล้วยไม้ C. goeringii ;  กล้วยไม้ C. ensifolium (กล้วยไม้ดินจุหลิน) ; กล้วยไม้ C. faberi ; กล้วยไม้ C. kanran (กลัวยไม้ฤดูหนาว)

▲กล้วยไม้ 5 สายพันธุ์สกุล Cymbidium--- C. sinense/墨兰 ; C. goeringii/春兰 ;  C. ensifolium/建兰 ; C. faberi/惠兰 ; C. kanran/寒兰

        ใบชา 5 ชนิด คือ ไท่ผิงโหวขุย ; อานซีเถี่ยกวนอิน ; ซูเฉินเสี่ยวหลานฮวา ; หวงซานเหมาฟง ; ซิ่นหยางเหมาเจียน ทั้งหมดนี้จะมีไท่ผิงโหวขุย 2 ตัวอย่าง รวมทั้งหมด 6 ตัวอย่าง 

▲ใบชา 5 ชนิด--- ไท่ผิงโหวขุย/太平猴魁 ; อานซีเถี่ยกวนอิน/安溪铁观音 ; ซูเฉินเสี่ยวหลานฮวา/舒城小兰花 ; หวงซานเหมาฟง/黄山毛峰 ; ซิ่นหยางเหมาเจียน/信阳毛尖

▲ใบชา 5 ชนิด 6 ตัวอย่าง--- ไท่ผิงโหวขุย 2 ตัวอย่าง 


        • ถัดมา ทำการวิเคราะห์กลิ่นหอมที่เกี่ยวข้องโดยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์และโดยทางอวัยวะประสาทสัมผัส : กลิ่นกล้วยไม้ของชาเขียวเกรดพรีเมี่ยมเหล่านี้กับกลิ่นหอมของกล้วยไม้ C. faberi จะใกล้เคียงมากที่สุด

        ผู้ทำการศึกษาวิจัยได้พรรณนากลิ่นหอมของกล้วยไม้ C. faberi ออกเป็น 8 โน้ตกลิ่น คือ กลิ่นหอมหวาน (sweet floral) ; กลิ่นดอกไม้ดั่งดอกมะลิและแมกโนเลีย (jasmine, magnolia) ; กลิ่นนม (milk) ; กลิ่นน้ำหอม (perfumery) ; กลิ่นหญ้าสด (grassy) ; กลิ่นผลไม้แบบผลกีวีฟรุต (fruity-kivi) ; กลิ่นเสมือนหญ้าแห้งและไม้ไผ่ (hay-like, bamboo) ; กลิ่นสบู่ (soapy)

        กลิ่นหอมที่สำคัญที่สุดคือกลิ่นดอกมะลิและกลิ่นผลกีวีฟรุต ซึ่งใกล้เคียงกันมากกับกลิ่นกล้วยไม้ในใบชาที่ผู้ทำการศึกษาวิจับรับรู้ได้ 

▲รูปโครงร่าง 8 โน้ตกลิ่นของกลิ่นหอมกล้วยไม้ C. faberi


        • ลำดับต่อมา หลังการวิเคราะห์สารให้กลิ่นตัวสำคัญโดยเทคนิค GC ค้นพบว่า : สารให้กลิ่น 5 ชนิดที่สำคัญของกล้วยไม้ C. faberi จะเสมือนกับสารให้กลิ่นที่สำคัญของเถี่ยกวนอินและไท่ผิงโหวขุย

        สารให้กลิ่น 5 ชนิดนี้มี 3 ชนิดที่รู้ว่าเป็นสารอะไร แยกออกเป็น : Methyl Jasmonate (MeJA) ; Methyl epiJasmonate (epi-MeJA) และ Farnesol ส่วนอีก 2 สารให้กลิ่นยังไม่ทราบเป็นสารอะไร

        เถี่ยกวนอินประกอบด้วยสารให้กลิ่น 4 ชนิดใน 5 ชนิดนี้ ไท่ผิงโหวขุยประกอยด้วยเพียง 2 ชนิด 

▲สารให้กลิ่น 5 ชนิดที่สำคัญของกล้วยไม้ C. faberi--- วิเคราะห์โดยเทคนิค Gas Chromatography (GC)


        ผู้ทำการศึกษาวิจัยได้ก้าวไปอีกขั้นโดยได้นิยามกลิ่นกล้วยไม้ของใบชาเป็น : กลิ่นดอกมะลิ กลิ่นแมกโนเลีย และกลิ่นผลไม้ที่ราวกับผลกีวีฟรุต

        แต่ว่า กลิ่นหอมของเถี่นกวนอินและชาเขียวเกรดพรีเมี่ยมจะไม่เหมือนกัน กลิ่นกล้วยไม้ในระหว่างพวกมันก็มีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน


        เถี่ยกวนอินจะมีกลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้และกลิ่นนมที่เข้มข้นอย่างเด่นชัด ส่วนกลิ่นอ่อนโยน (Tender) ของชาเขียวจะเข้มกว่า 

        ซึ่งกล่าวได้ว่า กลิ่นหอมราวกับกลิ่นกล้วยไม้ที่รู้สึกได้จากชาเขียวเหล่านี้ไม่เท่ากับกลิ่นหอมของเถี่ยกวนอินที่หอมหวานและหอมนมอย่างเด่นชัด แต่ชาทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นราวกับดอกมะลิซึ่งล้วนค่อนข้างแรง 

▲รูปโครงร่างกลิ่นหอมของน้ำชา--- ชาวูหลงอานซีเถี่ยกวนอิน และ ชาเขียวไท่ผิงโหวขุย 


        • สุดท้าย ผู้ทำการศึกษาวิจัยได้ทำการประเมินสารให้กลิ่นตัวสำคัญต่อกลิ่นกล้วยไม้ในน้ำชา ค้นพบว่า ความแรงของกลิ่นกล้วยไม้ในใบชากับความเข้มข้นของ epi-MeJA ในใบชามีความสัมพันธ์กันโดยตรง 

▲ความแรงของกลิ่นกล้วยไม้ในใบชากับความเข้มข้นของ epi-MeJA ในใบชามีความสัมพันธ์กันโดยตรง


        มาถึงตรง ณ จุดนี้ ปริศนาแห่งของกลิ่นกล้วยไม้ในใบชาเกรดพรีเมี่นมก็ได้รับการอธิบายค่อนข้างเต็มที่แล้ว


        ขอนำเสนอเพิ่มเติมว่า MeJA จะกระจายอยู่ในพืชอย่างกว้างขวาง ก่อเกิดขึ้นจากเมทาบอลิซึมของกรดไขมันลิโนเลนิกอัลฟา เมทาบอลิซึมของกรดไพรูวิก และการย่อยสลายของกรดไขมัน

        มันเป็นออร์โมนที่สำคัญชนิดหนึ่งของพืช มันสามารถล่อแมลงมาช่วยผสมเกสรดอกไม้ มีสรรพคุณในการต้านจุลินทรีย์และความสามารถในการฟื้นคืนสู่ปกติ ภายใต้สภาวะบีบบังคับ จะเกิดผลดีต่อระดับของ MeJA ในต้นชาเพิ่มสูงขึ้น


        ขณะเดียวกัน MeJA และ epi-MeJA เป็นไอโซเมอร์ (Isomer : โมเลกุลที่มีสูตรเคมีเหมือนกันแต่โครงสร้างเคมีต่างกัน) ภายใต้ความเข้มข้นที่เท่ากัน กลิ่นดอกไม้ของ epi-MeJA จะสูงเป็น 4 เท่าของ MeJA หรือกล่าวอีกแง่หนึ่งว่า MeJA แปรเปลี่ยนเป็น epi-MeJA ยิ่งมาก กลิ่นดอกไม้ก็จะยิ่งเด่นชัด

        แต่ภายใต้ภาวะที่มีความเป็นกรด-ด่างหรืออุณหภูมิสูง epi-MeJA จะเกิด Epimerization แล้วก่อเกิด MeJA เพิ่มมากขึ้น นำไปสู่กลิ่นกล้วยไม้ในใบชาถูกลดทอนลง


        เพราะฉะนั้น อุณหภูมิสูงในกระบวนการของการผลิตใบชาและการจัดเก็บที่เป็นระยะยาวนานจะเป็นโทษต่อ epi-MeJA ไม่เป็นผลดีต่อการเพิ่มความแรงของกลิ่นกล้วยไม้


        • ท้ายสุด ขอสรุปผลของการศึกษาวิจัยที่สำคัญของการบันทึกข้อมูลนี้ คือ

        - กลิ่นกล้วยไม้ถูกนิยามเป็นกลิ่นดอกมะลิ กลิ่นแมกโนเลีย และกลิ่นผลไม้ที่ราวกับผลกีวีฟรุต

        - กลิ่นกล้วยไม้ในใบชาและกลิ่นหอมของกล้วยไม้ C. faberi มีความใกล้เคียงมากที่สุด

        - epi-MeJA เป็นสารให้กลิ่นที่สำคัญที่สุดที่ก่อเกิดกลิ่นกล้วยไม้ในใบชา

        - MeJA เป็นฮอร์โมนพืชชนิดหนึ่ง ในสภาวะคับขันจะทำให้มีปริมาณองค์ประกอบในต้นชาเพิ่มมากขึ้น

        - MeJa และ epi-MeJA เป็นไอโซเมอร์ ซึ่งตัวหลังเมื่อดมแล้วมีกลิ่นดอกไม้ที่เด่นชัดกว่า

        - อุณหภูมิสูงในกระบวนการของการผลิตใบชาและการจัดเก็บที่เป็นระยะยาวนานไม่เป็นผลดีต่อความเสถียรของ epi-MeJA ซึ่งกลิ่นกล้วยไม้จะถูกลดทอนลงได้



 เอกสารอ้างอิง :

1. 茶叶中为什么会有兰花香?https://zhuanlan.zhihu.com/p/389755967

2. Characterization of the orchid-like aroma contributors in selected premium tea leaves : https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0963996919307276

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568

เชื้อราและแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในการหมักกองจะมีโทษต่อร่างกายหรือไม่?

 


        ทำไมชาสุกผูเอ่อร์ที่“ขึ้นรา”ในระหว่าง “การหมักกอง” สามารถนำมาชงดื่มได้ต่อไป แล้วทำไมชาสุกผูเอ่อร์ที่“ขึ้นรา”ในระหว่าง “การจัดเก็ษ” ไม่สามารถนำมาชงดื่มได้อีกต่อไป ทำไมถึงเป็นระบบ 2 มาตรฐานเช่นนี้? 

▲“ขึ้นรา” ใน “การหมัก/发酵” ชาสุก vs. “ขึ้นรา” ใน “การเก็บ/存茶” ชาแผ่น


        การฟื้นฟูชาผูเอ่อร์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา วงการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยจุลินทรีย์ในการหมักกองเชิงลึกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานผลการศึกษาวิจัยล้วนได้ทำการแยกแยะจุลินทรีย์ออกเป็น 3 จำพวกคือ “แบคทีเรีย” ; “ยีสต์” แล้วก็ “เชื้อรา” ที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดอย่างมาก


        ก่อนอื่น ขอชี้แจงเพื่อความกระจ่างอีกสักนิดว่า จำพวกจุลินทรีย์ในการหมักกอง และจำพวกจุลินทรีย์ในซีอิ้ว นมเปรี้ยว เป็นต้นที่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารหมักแบบดั้งเดิมอยู่บนพื้นฐานที่เหมือนกัน

        งั้นก็กล่าวได้ว่า ทำนองเดียวกันกับซีอิ้วจากการหมักถั่วเหลือง นมเปรี้ยวจากการหมักนมวัว ชาสุกผูเอ่อร์ได้มาจากการหมักเหมาฉาพันธุ์ใบใหญ่อวิ๋นหนาน ซึ่งแทบไม่แตกต่างจากผลิคภัณฑ์อาหารหมัก จึงมิใช่เป็นสิ่งมีเฉพาะหนึ่งเดียว


        หลังผ่านการศึกษาวิจัยเชิงลึกแล้ว วงการได้ค้นพบว่ากลไกในกระบวนการหมักกอง กับผลิตภัณฑ์อาหารหมักอื่นๆล้วนมีลักษณะร่วมกันโดยธรรมชาติ นั่นก็คือ “การหมัก 3 เชื้อ” 

▲กลไกในกระบวนการหมักกองชาสุกผูเอ่อร์ “การหมัก 3 เชื้อ/三菌发酵” -- เชื้อรา/霉菌 ; แบคทีเรีย/细菌 ; ยีสต์/酵母菌


        | มุ่งหาประโยชน์หลีกเลี่ยงอันตรายของเชื้อรา


        เมื่อเอ่ยถึงเชื้อราแล้ว ในใจทุกคนอาจจะมีสัญชาตญาณที่รังเกลียด : บนอาหารที่เน่าเปื่อย เส้นใยสีเขียวยาวๆงอกออกมา...เป็นจุลินทรีย์จำพวกหนึ่งที่ดำรงอยู่อย่างกว้างขวางในธรรมชาติ 

        เชื้อราไม่ใช่อะไรที่ดูง่ายๆอย่างที่ทุกคนคาดคิด เชื้อราเป็นชื่อทั่วไปของ “เชื้อราเส้นใย (Filamentous Fungi)” ภายในจำพวกนี้สามารถแบ่งออกมาเป็นสกุลมากมาย แต่ในบริบทของผลิตภัณฑ์อาหารหมักมีเพียง 4 สกุลคือ : Mucor/毛霉属 ; Rhixopus/根霉属 ; Aspergillus/曲霉属 ; Geotrichum/地霉属


        กล่าวสำหรับการหมักกองแล้ว เชื้อราสกุล Aspergillus ถือเป็นกำลังหลักที่สำคัญ ซึ่งสามารถจำแนกออกมาเป็น Aspergillus oryzae/米曲霉; Aspergillus flavus/黄曲霉 ; Aspergillus batatas/甘薯曲霉 ; Aspergillus egypticus/埃及曲霉 เป็นต้นที่มีถึงกว่า 60 สปีชีส์ ทั้งหมดนี้ที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือ Aspergillus niger/黑曲霉


        ความเป็นจริง Aspergillus niger ในการหมักกองของชาผูเอ่อร์ ก็เหมือนยีสต์ในขนมปัง เป็นจิตวิญญาณที่ก่อเกิดขึ้นของชาสุกผูเอ่อร์ แต่ในมุมมองทางวิชาการ Aspergillus niger ไม่ใช่เป็นจุลินทรีย์ชนิดเดียว แต่เป็นชนิดกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ดังนั้น การนิยามที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นก็ควรที่จะเป็น Aspergillus Niger Group (ข้อความต่อไปนี้จะใช้ตัวย่อ “ANG” แทน ) 

▲เชื้อราชนิด -- Aspergillus niger/黑曲霉


        รูปสัณฐานของANGมีความพิเศษเฉพาะมาก จากกากสังเกตโดยมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ อัปสปอร์ (Conidial Head) จะออกสีดำน้ำตาลที่มีลักษณะแผ่ออกจากจุดศูนย์กลาง ขณะเดียวกันก้านชูอัปสปอร์ (Conidiophore) จะสั้นยาวไม่เท่นกัน อัปสปอร์มีลักษณะเป็นทรงกระเปาะ มีผนังกั้น 2 ชั้น 

▲โครงสร้างของ Aspergillus niger – อัปสปอร์/分生孢子头 ; ผนังกั้น 2 ชั้น Phialide/瓶梗 และ Metula/梗基 ; ก้านชูอัปสปอร์/分生孢子梗 ; สปอร์/分生孢子 


        ที่พิเศษเฉพาะมากกว่าคือ ANGถือเป็นเชื้อราที่ไม่ต้องออกซิเจน ภายใต้สภาวะที่อุณหภูมิประมาณ 37ºC และความชื้นที่ประมาณ 80% จึงจะแสดงออกถึงการมีฤทธิ์ ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว รูปลักษณะโคโลนีของเชื้อราจากจุดเริ่มต้นเป็นใยสีขาว แล้วจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำอันเป็นการสุกงอมแล้ว 

▲โคโลนีของเชื้อราจากจุดเริ่มต้นเป็นใยสีขาว แล้วจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลดำ (อันเป็นการสุกงอมแล้ว)
 

        ในการที่เป็นชนิดหนึ่งของสกุล Aspergillus ที่พบเห็นได้บ่อยๆ ANGล้วนดำรงอยู่ในดินและบรรยากาศอย่างกว้างขวาง และเป็นเชื้อหมักที่สำคัญสายพันธุ์หนึ่งที่ได้มาโดยง่ายจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เป็นเชื้อหมักที่“เป็นมิตร”สายพันธุ์หนึ่ง

        ขณะเดียวกัน ANG ก็เป็นชุมชนจุลชีพ (Microbiome) ที่สำคัญที่สุดในผลิตภัณฑ์อาหารหมัก ภายใต้สภาวะอุณหภูมิที่เหมาะสม ANGสามารถหลั่งเอนไซม์ย่อยแป้ง (Amylase) เอนไซม์ที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล (Glucoamylase) กรดมะนาว กรดกลูโคส เป็นต้นเป็นอันสสารที่หลากหลาย 

        นอกจากนี้ อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นโดยธรรมชาติในกระบวนการหมักกอง ที่แท้ในกระบวนการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของ ANGไม่เพียงเกิดเอนไซม์ที่ติดตามมา ยังเกิดปรากฏการณ์การเกิดความร้อน


        การใช้ANGในการหมักชาสุกผูเอ่อร์และเหล้าขาว แสดงออกกถึงความคล้ายคลึงอย่างน่าประหลาดใจ พวกเราต่างรับรู้กันว่า การหมักของกลุ่มเหล้าแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ “การหมักในสถานะของแข็ง” และ “การหมักในสถานะของเหลว

        ในห้องใต้ดินเก็บบ่มเหล้า ANGก็ยังดำรงอยู่ หากคุณเคยเข้าไปเยี่ยมชมห้องใต้ดินฯที่มีชื่อเสียง จะพบเห็นปรากฏการณ์ที่“ประหลาด” เหล้าได้ถูกบบรจุลงในขวดแล้ว แต่บนผนังของห้องใต้ดินฯยังมีแผ่นดวงของANGติดยึดอยู่


        เชื้อราสกุล Aspergillus มีหลากหลายชนิดมาก ทำไมANGถึงได้เป็นจอหงวน?

        นี่คงต้องไปกล่าวถึงพลังการรบของANG---มีพลังการยึดติดและความสามารถในการแทรกซึมที่สูงมาก ช่วงเริ่มต้นของการเปิดศึก“สงครามป้อมปราการ” สามารถทำลายที่กำบังแนวป้องกันของสารตั้งต้นการหมักได้อย่างง่ายดาย

        เมื่อจู่โจมบุกเข้าไปข้างในแล้ว ANGก็จะใช้สารตั้งต้นการหมักเป็นแหล่งอาหารในการเจริญและแบ่งตัว แล้วทำการผลิตสสารต่างๆโดยใช้เอนไซม์ย่อยโปรตีน เอนไซม์ย่อยแป้ง เอนไซม์ย่อยสลายเซลลูโลส เป็นต้นอันเป็นเอนไซม์ที่มีฤทธิ์อย่างแรงกล้า ต่อจากนี้ก็เป็นการเตรียมสำรองสสารพร้อมสำหรับ “การหมักที่ทำการเร่งโดยเอนไซม์/酶促发酵” 


        จำเป็นที่ต้องชี้แจ้งถึงหนึ่งความคิดที่ผิดๆก็คือ : ANGไม่จัดเป็นเชื้อราชนิดที่เป็นประโยชน์ ในการหมักกองก็มิใช่อยู่ในสถานะผู้นำอย่างสิ้นเชิง  มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพของชาสุกไม่มาก

        ก่อนอื่น มีรายงานผลการศึกษาวิจัยการหมักกองอย่างชำนาญการจำนวนมาก กำหนดANGเป็นเชื้อราชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคนเรา ที่แท้นี้เป็นการเข้าใจที่ผิดๆ เพาระว่าANGแม้กระทั่งรวมเชื้อราสกุลทั้งหมดล้วนถือเป็น“เชื้อก่อการเน่าเสีย (Saprophytes)” ช่วงการหมักจำเป็นต้องมุ่งหาประโยชน์หลีกเลี่ยงอันตราบ


        แม้นANGอยู่ในสถานะที่สำคัญในการหมักกอง แต่มิใช่ว่ามีเพียงANGเป็น“ทหารหน่วยรบคนเดียว” การมีส่วนร่วมในการหมักกองเริ่มแรกประกอบด้วยเชื้อจุลินทรีย์หลายสิบชนิด เสมือนกับแนวคิดของกำลังทหารกองใหญ่ที่ร่วมมือกันทำศึกสงคราม

        การทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ในช่วงต้นของการหมักANGไปทำการทลาย“กำแพงป้องกัน”ของสารตั้งต้นการหมัก(เหมาฉา) แล้วผลิตเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ชนิดต่างๆ เป็นกองทหารรักษาการณ์เพื่อจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่มั่นคงไว้ให้แก่“กองทัพใหญ่”ของจุลินทรีย์ในภายหลัง 

        แต่เมื่อการหมักกองเข้าสู่ขั้นตอน“การหมักที่ทำการเร่งโดยเอนไซม์” การมีฤทธิ์ของANGจะค่อยๆสูญหายไป จะไม่นำชาผูเอ่อร์สู่การขึ้นรา ก็คือว่า ภารกิจของมันเป็นอันสิ้นสุด แล้วก็ตายจากไป

        แน่นอนว่า ถ้าวิธีการหมักไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ANGดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง งั้นชาที่ทำออกมาจะมีความรู้สึกฝาดชา ตำปาก 

        ท้ายสุด ขอยืนยันอีกครั้งว่า รายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าเชื้อราเป็นกำลังเสริมในช่วงต้นของการหมัก ไม่สามารถรักษาให้คงอยู่เป็นระยะเวลายาวนานได้ ไม่สามารถอยู่ร่วมกับร่างกายคนเราได้ ยิ่งไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการดื่มน้ำชา จะเป็นโทษอันตรายต่อร่างกาย 


        | บาดเจ็บสาหัสซ้ำแล้วซ้ำเล่าของแบคทีเรีย


        ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจผิดต่อแบคทีเรียมากยิ่งกว่าเชื้อรา ผู้คนทั่วไปเชื่อว่ามันนำไปสู่เกิดการเน่าเสียคุณภาพเปลี่ยน ผู้บริโภคกังวลต่อความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ชา ผู้สร้างข่าวลือก็จะร้องแรกแหกกระเฉอ ให้ข้อสรุปที่ผิดๆว่าชาสุกผูเอ่อร์มีโทษต่อร่างกาย ความเป็นจริง ผู้คนจำนวนมากมีความเข้าใจต่อแบคทีเรียยังไม่เพียงพออย่างไกลลิบลับ


        แบคทีเรียมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง จากก้นบึ้งมหาสมุทร ถึงอวกาศสูงหมื่นเมตร แล้วมาถึงชั้นแก่นของเปลือกโลก ล้วนมีเงาของแบคทีเรียที่มีชีวิตชีวา 

▲เชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคดำรงอยู่ในทุกหนทุกแห่ง – บำรุงและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อให้มีภูมิต้านทานโรคที่ดี

        จำนวนแบคทีเรียมีมากมายมหาศาล หยิบเนื้อดินมากำมือเดียว ในนั้นจะประกอบด้วยแบคทีเรียมีปริมาณสูงถึงหนึ่งร้อยล้านเซลล์ ในลำไส้มนุษย์เป็นที่พักอาศัยของจุลชีพปกติในลำไส้ ปริมาณสามารถบรรลุถึง 100 ล้านล้านเซลล์ 

        แบคทีเรียมีความหมายที่ใหญ่หลวงมาก เป็นไปตามที่ชีววิทยาศาสตร์ยุคใหม่ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดหยั่ง แบคทีเรียกลายเป็นเป้าหมายพื้นฐานของการศึกษาวิจัยทางด้านระดับโมเลกุล ยีนในแนวราบ จีโนมในแนวราบ ทำให้มนุษย์ได้อุทิศตนในการพัฒนาสารวัตถุที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้

        ขอยกตัวอย่างที่ถือเป็นตัวแทนได้ดี ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาและป้องกันเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่โดยพื้นฐานล้วนมาจากการหมักของจุลินทรีย์ ในอนาคตจุลินทรีย์กลายเป็นกระแสในบริบทของอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรกรรมยุคใหม่ ชีวเภสัชกรรม เป็นต้น


        หลังจากทำความเข้าใจถึงอัตลักษณ์ที่แท้จริงของแบคทีเรียแล้ว ก็มาดูบทบาทการแสดงของแบคที่เรียในการหมักกอง

        เมื่ออุณหภูมิในหมักองขึ้นสูงถึง 40ºC แบคทีเรียจะก่อเกิดขึ้นมา ซึ่งก่อเกิดผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ต่อกระบวนการหมักกองและการก่อตัวทางรสชาติของชาสุก

        แต่บนพื้นฐานมีแบคทีเรียชนิดไหนบ้าง ปริมาณมากหรือน้อย  รายงานผลการศึกษาวิจัยบางส่วนเชื่อว่าแบคทีเรียที่ก่อเกิดขึ้นในกระบวนการหมักมีจำนวนน้อย แต่ความเป็นจริงไม่ใช่มีน้อย แต่มีมาก เล็กเกินไป ยากที่จะตรวจพบเห็นได้ 

        นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่วางอยู่ข้างหน้าวงการผลิตภัณฑ์อาหารหมัก แต่เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาวิจัยที่ยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ วงการอุตสาหกรรมยังสามารถตรวจพบเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญบางส่วน แล้วดำเนินการเสาะหาเบื้องต้นในภารกิจและปริมาณของแบคทีเรีย


        อย่างเช่น แบคทีเรียแล็กทิก/Lactic Acid bacteria ที่ประกอบด้วย แล็กโทบาซิลลัส/Lactobacillus กับ สเตรปโตคอกคัส/Streptococcus และ อะซีโตแบคเตอร์ไซลินัม/A. xylinum ในแบคทีเรียสกุล แบคทีเรียมอะซีติ/Bacteriumaceti ภายใต้ปฏิบัติการร่วมกันของเชื้อสองชนิดนี้ ทำให้ชาสุกผูเอ่อร์ในระยะเริ่มต้นการหมักเกิดรสค่อนข้างเปรี้ยว หลังเข้าสู่ขั้นตอน“การหมักที่ทำการเร่งโดยเอนไซม์” ความรู้สึกเปรี้ยวของเหมาฉาค่อยๆลดลง กลับคืนสู่สภาวะที่ยากจะรับรู้ความรู้สึกที่ค่อนข้างอ่อนได้

        นอกจากนี้ แบทีเรียจำพวก Baccillaceae ; Acetobacteraceti  และ A.pasteurianus เป็นต้นที่เป็นเชื้อแบคทีเรียต่างภารกิจกัน 

▲แบคทีเรียแล็กทิก/乳酸菌


        อ้างอิงตามความหมายของแบคทีเรียที่มีต่อมนุษย์ สามารถแบ่งออกมาเป็น “แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (Probiotic)” และ “แบคทีเรียก่อเกิดโรค (Pathogenic bacteria)” ส่วนกล่าวสำหรับการหมักกองแล้ว ซึ่งสุดท้ายมีการก่อเกิดแบคทีเรียก่อเกิดโรคหรือไม่ เป็นหลักสำคัญทางด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ชา

        แต่คำตอบเป็นที่เด่นชัดมาก ชาสุกผูเอ่อร์ไม่มีแบคทีเรียก่อเกิดโรค! นี่เป็นเพราะสารโพลิฟีนอลส์ที่ประกอบอยู่ในชาผูเอ่อร์มีอย่างครบถ้วน เมื่อแบคทีเรียนเจริญถึงขั้นตอนระดับหนึ่ง จะปรากฏ“ปฏิกิริยาการเป็นปฏิปักษ์กัน/拮抗反应”ในตัวมันเอง ปรากฏในระดับชั้นที่เล็กมาก ก็คือในกระบวนการหมักจะก่อเกิดสารประกอบทุติยภูมิจำนวนเล็กน้อยจากเชื้อรา เพนิซิลเลียม/ Penicillium สารประกอยอันเล็กน้อยมากๆเหล่านี้ แต่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงมาก สามารถทำการยับยั้งการก่อเกิดและการเจริญของแบคทีเรียก่อเกิดโรคได้อย่างหมดจด


        บนเรื่องของข้อเท็จจริงที่สำคัญ วงการอุตสาหกรรมไม่กล้าที่จะสรุปที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล กลับดำเนินการตรวจสอบทางเคมีในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์จากหลายร้อยตัวอย่างของชาสุกจากโรงงานใหญ่มาตรฐาน ไม่พบเห็นการดำรงอยู่ของแบคทีเรียก่อเกิดโรคสักกรณีเดียว 

        หลังจากที่คณะทำการศึกษาวิจัยได้นำตัวอย่างมอบหมายให้องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่หลายองค์กรช่วยในการตรวจสอบอีกครั้ง สุดท้ายจึงเชื่อมั่นต่อผลลัพธ์เช่นนี้ จากการวิเคราะห์จากการคาดการณ์ผลลัพธ์ จึงค้นพบว่าสารประกอบทุติยภูมิโมเลกุลขนาดเล็กเหล่านี้จากเชื้อราเพนิซิลเลียมทำให้เกิดผลที่สำคัญ


        | ภารกิจโดดเด่นของยีสต์


        ได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญมากที่สุดทางด้านอุตสาหกรรม เป็นจุลินทรีย์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด ยีสต์ในอุตสาหกรรมการผลิตเหล้า ผลิตภัณฑ์อาหาร ยารักษาโรค ล้วนแสดงออกถึงการมีบทบาทที่สำคัญ ได้รับกิตติมศักดิ์เป็น“จุลินทรีย์เลี้ยง

        บนการรับรู้ในระดับชั้นจากวิทยาศาสตร์ยอดนิยม พวกเรานำยีสต์และเชื้อราแยกออกจากัน แล้ว“ยีสต์”เป็นชื่อสามัญอย่างเด่นชัด ความเป็นตัวมันเองเป็นฟังใจเซลล์เดียวขยายพันธุ์แบบไม่ต้องอาศัยเพศด้วยการแตกหน่อและการแยกตัว 

▲ชนิดยีสต์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ


        ในการหมักกอง ปัจจุบันผลการตรวจสอบล่าสุดเช็คออกมาได้ 20 กว่าชนิด แต่จากการคาดการณ์ตามผลของการหมักในภาวะที่แท้จริงแล้ว ปริมาณที่แท้จริงจะสูงกว่าจำนวนนี้มาก

        ทำนองเดียวกันกับ“สงครามรูปแบบขนาดใหญ่”ของเชื้อราที่คุ้นเคย ยีสต์ในช่วงดำเนินการหมักกอง ก็เป็นการร่วมทำศึกของกลุ่มยีสต์ บางครั้งก็ร่วมด้วยช่วยกันกับแบคทีเรียแล็กทิกและแบคทีเรียมอะซีติในการกำจัด“ศัตรู”ที่ดื้อรั้น

 

        ที่มีความเป็นตัวแทนมากที่สุด คือยีสต์และแบคทีเรียมอะซีติมีความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกับแบบพึ่งพาอาศัยกันในช่วงการหมัก บนระยะเริ่มต้นของการหมักกอง ยีสต์จะทำการย่อยสลายน้ำตาลอ้อยสลายออกเป็นน้ำตาลกลูโคสและฟรุกโตส ทำให้แบคทีเรียมอะซีติที่ไม่สามารถใช้น้ำตาลอ้อยได้โดยตรงเจริญแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็ว 

        ภายใต้การช่วยเหลือของยีสต์ แบคทีเรียมอะซีติทำให้น้ำตาลกลูโคสและฟรุกโตสเกิดการออกซิเดชั่น จะได้เอทานอลกับกรดน้ำส้มที่สามารถปกป้องการโจมตีพวกมันทั้งสองจากจุลินทรีย์อื่นๆ


        นอกจากนี้ จะมีตวามแตกต่างกับ Aspergillus niger ก็คือ ยีสต์ภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจน ก็สามารถดำรงอยู่บนผิวใบชา อุณหภูมิกองหมักที่ 20ºC ก็เริ่มการเจริญเติบโต อุณหภูมิกองหมักที่ 30ºC จะเกิดการขยายพันธุ์เป็นจำนวนมาก ก่อเกิดผลปฏิบัติการ

        ขณะเดียวกัน ยีสต์ก็จะมีลักษณะพิเศษตาม“ยุคสมัย”ที่อายุสั้น จากการพลิกกอง 1 ครั้งถือเป็น 1 กระบวนการหมัก ทุกครั้งยีสต์ล้วนเข้าสู่สนามก่อนและออกจากสนามก่อน หลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็จะตกตะกอนในฟองชาจมอยู่ใต้กองชาหมักชั้นล่าง

        นี่จะนำไปสู่ปริมาณของยีสต์ในเถ้าถ่านชาที่ก้นกองโดยทั่วไปเป็นสิบเท่าของเหมาฉา นำฟองชามาฆ่าเชื้ออบแห้งนำมารีไซเคิล ก็จะกลายเป็น “ยีสต์ชา/茶酵母” ที่มีประโยชน์มากสำหรับโรงงานเพาะเลี้ยงเชื้อใหม่และในบริบทของการหมักระบบ AI ในอนาคต

        ดังนั้น กล่าวสำหรับวงการศึกษาชาผูเอ่อร์ปัจจุบันแล้ว ยีสต์เป็นเชื้อชนิดหนึ่งที่คุ้มค่าทำการศึกษาเชิงลึกมากที่สุด และก็ได้รับผลลัพธ์ทางการศึกษาวิจัยที่ยิ่งใหญ่ที่ง่ายดายที่สุด เหตุผลหนึ่งก็อยู่บนลักษณะพิเศษที่สามารถรีไซเคิลของยีสต์

▲รูปที่9 : ปฏิกิริยาทางเคมีของจุลินทรีย์ในการหมักกองชาสุกผูเอ่อร์


▲แฮมขาหมูดำสเปน – รสชาติและกลิ่นอันมีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะ มาจากกระบวนการหมักโดยตากแห้งในห้องควบคุมอุณหภูมิให้เกิดเชื้อรา เชื้อราบนผิวหนังขาหมูทำการย่อยสลายโปรตีนที่ยาวนานที่สุดถึง 5-6 ปี