วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

ปริศนาแห่งต้นชาโบราณ (2)

ความรู้เรื่องชาผูเอ๋อร์  ตอน...
ปริศนาแห่งต้นชาโบราณ (2)
古茶树之谜 (二)




        ความแตกต่างของต้นชาโบราณและต้นชาไม้ใหญ่กับต้นชาไร่


        ต้นชาโบราณและต้นชาไม้ต้นใหญ่กับต้นชาไร่ล้วนถือเป็นต้นชาไม้ต้นพันธุ์ใบใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอกของต้นชาโบราณและต้นชาไม้ต้นใหญ่เป็นทรงไม้ต้น เพียงแต่ถ้าอายุยืนยาวขึ้นจะเรียกเป็นต้นชาโบราณ อายุอ่อนจะเรียกเป็นต้นชาไม้ต้นใหญ่
        ส่วนต้นชาไร่ไม่เหมือนกับต้นชาโบราณและต้นชาไม้ต้นใหญ่ มันไม่มีรูปลักษณ์เป็นทรงไม้ต้น แต่มีรูปลักษณ์ต่ำเตี้ยเป็นทรงไม้พุ่ม วงการชาอวิ๋นหนานเพื่อให้เกิดความแตกต่างกับต้นชาทรงไม้พุ่มพันธุ์ใบกลางเล็กในเจียงเจ้อ จึงขนานนามว่าต้นชาไร่ ตามข้อเท็จจริง เรียกเป็นต้นชาไร่นั้นถูกต้องแล้ว เนื่องจากแม้ว่าต้นชาไร่จะเตี้ย แต่ยังมีลำต้นหลัก เพียงแต่ลำต้นหลักของต้นชาไร่ส่วนมากซ่อนอยู่ใต้ผิวดิน นอกจากนี้ ความสูงเหนือระดับผิวดินของต้นชาไร่ก็สูงกว่าพันธุ์ใบกลางเล็ก 
        อดีตที่ผ่านมา เขตพื้นที่ชาในอวิ๋นหนานไม่มีต้นชาไร่ มีเพียงแค่ต้นชาไม้ต้นใหญ่ ต้นชาไร่ปรากฏเมื่อทศวรรตที่70ศตวรรตที่แล้ว(ยังมีผู้คนไม่น้อยที่คิดว่าเป็นทศวรรตที่60) โดยได้รับอิทธิพลจากการเพาะปลูกในเขตพื้นที่ชาในเจียงเจ้อ เพื่อต้องการผลผลิตสูงและการเด็ดเก็บได้ง่ายสะดวก จึงเจตนาตัดแต่งกิ่งต้นชาให้เตี้ยลง ช่วงสมัยที่ประเทศจีนกำลังอยู่ภายใต้เศรษฐกิจวางแผน สินค้าและวัตถุดิบขาดแคลน จึงมุ่งเน้นเพิ่มผลผลิต พื้นที่ชาที่มีชื่อเสียงเขตหนึ่งในหยินหนาน---หมู่บ้านปานจาง(班章寨)เกือบที่จะต้องมาโค่นต้นชาโบราณทิ้งอันเนื่องจากเอกสารกระดาษหัวสีแดงฉบับหนึ่ง เพื่อที่จะมาเปลี่ยนเป็นสวนชาไร่ สวนชาต้นโบราณ36ผืนที่อยู่ภายใต้การครอบครองของหมู่บ้านปานจางที่พวกเรายังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน เกิดจากความมุ่งมั่นขัดขวางของผู้อาวุโสหมู่บ้านปานจาง จึงสามารถรักษาให้ดำรงอยู่ได้ แต่สวนชาโบราณจำนวนมากในอวิ๋นหนานไม่มีโชคที่จะได้รับการยกเว้น สิ่งที่มาแทนที่คือสวนชาไร่ผืนใหญ่

        ความจริง ตราบจนถึงปัจจุบัน วงการศึกษาชายังมีข้อโต้แย้งอยู่ประเด็นหนึ่ง หัวข้อของการถกเถียงคือความแตกต่างด้านคุณภาพของชาต้นโบราณและชาไร่ มีนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ณ ปัจจุบันก็ยังยืนยันว่าชาไร่และชาต้นโบราณไม่มีความแตกต่าง เหตุผลของพวกเขาได้จากกการวิเคราะห์ทางเคมีและเปรียบเทียบ ดัชนีชี้วัดทางเคมีของชาสองชนิดนี้แทบจะไม่แตกต่างกัน ซ้ำมีดัชนีชี้วัดบางตัว ชาไร่จะดีกว่าชาต้นโบราณ 
        ผลสรุปเช่นนี้ไม่ทำให้รู้สึกแปลก เพราะรายการที่พวกเขาทำการตรวจสอบแทบจะปลูกถ่ายจากรายการตรวจสอบของชาเขียว พื้นฐานใช้ดัชนีชี้วัด5รายการ เช่นทีโพลิฟีนอลส์(茶多酚) ทีโพลิแซ็กคาไรด์(茶多糖) ทีซับโปนิน(茶皂苷) คาเฟอิน(咖啡碱) รงควัคถุชา(茶色素) ความจริงเกิดจากรายการที่ตรวจสอบธรรมดาเกินไป ตราบจนถึงทุกวันนี้เป็นปัญหาที่การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของชาผูเอ๋อร์ตั้งแต่ต้นที่ยังล้าหลังกว่าภาคปฏิบัติของพื้นบ้านทางชาผูเอ๋อร์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข 
        เหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับโสม(人参)ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะทางภาคอีสานของจีน โสมแบ่งเป็นโสมพันธุ์ป่าจากเขาฉางไป๋ซาน(长白山野生参) และ โสมพื้นบ้าน(席地参 : มีการเพาะปลูกที่จี๋หลิน เหลียวหนิง เฮยหลงเจียง เป็นต้น) แต่จากการตรวจสอบสารองค์ประกอบทางเคมี ไม่สามารถหาข้อแตกต่างระหว่างพวกมันเช่นเดียวกัน เหตุผลก็คือกัน เกิดจากรายการตรวจสอบที่ธรรมดาเกินไป


        ขอให้พวกเราย้อนกลับมาดูต้นชาโบราณและต้นชาไม้ต้นใหญ่กับต้นชาไร่อีกครั้ง พวกมันไม่เพียงมีความแตกต่าง แต่เป็นความแตกต่างที่ใหญ่มาก


        1. ความแตกต่างของการเจริญเติบโตขึ้นไปทางแนวสูงจากการเพราะปลูกแบบไม่หนาแน่นกับลักษณะการตัดแต่งกิ่งให้เตี้ยจากการเพาะปลูกแบบหนาแน่น

        ต้นชาโบราณและต้นชาไม้ต้นใหญ่แม้จะมีเอกลักษณ์ของลักษณะความเป็นประชาคม แต่พวกมันก็มีสภาพการเพาะปลูกแบบไม่หนาแน่น มีพื้นที่เพียงพอต่อการยืดออกไปทางแนวนอนและแนวตรง ในขณะที่ต้นชายืดขึ้นไปทางด้านบน รากที่อยู่ในดินและส่วนที่อยู่เหนือผิวดินก็จะเจริญเติบโตพร้อมๆกัน และรากที่อยู่ในดินไม่หยุดที่จะหยั่งลึกลงไปในใต้ดิน เจริญจนถึงระดับหนึ่งแล้วแตกแผ่สยายออกเป็นรากแขนง ก่อให้เกิดเป็นระบบรากที่ใหญ่มาก จากตัวอย่างต้นชาโบราณอายุต้น300ปีในสวนชาโบราณจิ่งม้าย-อวิ๋นหนาน กิ่งก้านที่โผล่ออกบนผิวดินมีอยู่สิบกว่าก้าน แต่รากแขนงที่ซ่อนอยู่ใต้ดินมีมากกว่า50000เส้น มากกว่ากิ่งก้านของลำต้นกว่า5000เท่า (รูป) 
        ยังมีอีก อัตราส่วนความยาวของลำต้นบนดินและระบบรากใต้ดินเกือบ 1:1 รัศมีที่ระบบรากแผ่สยายออกไปก็เกือบจะเท่ากับรัศมีที่กิ่งก้านของลำต้นยืดออกไป ประจักษ์ชัดแล้วว่า รากลึกใบดกของต้นชาโบราณจำต้องอาศัยเนื้อดินในพื้นที่เพาะปลูกที่สอดคล้องกันมาค้ำจุน ระบบรากจึงมีความอิสระที่จะแผ่สยายออกไปในแนวราบและแนวตั้ง เพื่อที่จะได้รับธาตุอาหารจากดินมากที่สุด 
        จากที่กล่าวกันว่า“ต้นสูงขนาดไหน รากลึกขนาดนั้น” ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภาษิตพื้นบ้าน แต่เป็นความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ ส่วนต้นชาไร่จากการเพาะปลูกแบบหนาแน่นโดยมนุษย์ ดินที่ปกคลุมมีเพียงพื้นที่อันแคบเล็ก ประกอบกับเจตนาที่ทำให้มีลักษณะเตี้ยโดยฝีมือมนุษย์ อัตราส่วนของความสูงและความกว้างของลำต้นและความลึกและความกว้างของระบบรากล้วนถูกกดหดตัวลง ธาตุอาหารที่ได้รับจากดินก็จะน้อยกว่าต้นชาโบราณหรือต้นชาไม้ต้นใหญ่อย่างเห็นได้ชัดเจน


        2. ลำต้นของต้นชาไม้ใหญ่ยิ่งยาว(ความสูง) เส้นทางลำเลียงธาตุอาหารก็ยิ่งยาว ทำให้มีพื้นที่ภายในมากมายสำหรับกระบวนการสร้างและกระบวนการสลายของพืช มีผลดีต่อการสร้างและสะสมของสารทุติยภูมิที่มีคุณภาพสูง

        ต้นชาไม้ต้นใหญ่เพื่อการดำรงไว้ซึ่งการเจริญเติบโต การเคลื่อนไหว การผสมพันธุ์เป็นต้น กิจกรรมทางชีวิต(Vital Activity)จำเป็นต้องทำการแลกเปลี่ยนสสารกับสภาพแวดล้อมตลอดเวลา ด้านหนึ่งมันจะดูดซึมสารอนินทรีย์เชิงเดี่ยวจากสภาพแวดล้อม แปรเปลี่ยนเป็นสารอินทรีย์เชิงซ้อน ควบรวมเก็บไว้กับในตัวส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันทำการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานเคมี เก็บไว้อยู่ในสารอินทรีย์ 
        กระบวนการย่อยสลายที่ได้สารสังเคราะห์พร้อมพลังงานเรียกว่ากระบวนการสร้าง(Anabolism) อีกด้านหนึ่ง มันก็สลายสารอินทรีย์เชิงซ้อนที่อยู่ภายในร่างเปลี่ยนเป็นสารอนินทรีย์เชิงเดี่ยว พร้อมคายพลังงานที่เก็บในสารอินทรีย์ออกมาเพื่อสำหรับกิจกรรมทางชีวิต กระบวนการย่อยสลายสารและคายพลังงานออกมาเรียกว่ากระบวนการสลาย(Catabolism)
        ทุกปฏิกิริยาของการสังเคราะห์หรือการย่อยสลายถูกควบคุมภาวะสมดุลโดยเอนไซม์ สารประกอบที่ได้จากเมทาบอลิซึมปฐมภูมิ(Primary Metabolism) อย่างเช่น กลุ่มโปรตีน กลุ่มอะมิโน กลุ่มน้ำตาล กลุ่มไขมัน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เรียกว่าสารปฐมภมิ(Primary Metabolites) เมื่อสารปฐมภมิถูกการสังเคราะห์และการย่อยสลายอย่างต่อเนื่อง ก็จะเกิดเมทาบอลิซึมทุติยภูมิ(Secondary Metabolism) จะปรากฏสารประกอบทางเคมีใหม่ เช่นกลุ่ม Glucoside ; Alkaloid ; Terpenoid ; Lactone ; Phenol เป็นต้น หรือชื่อทางเคมีเรียกว่าสารทุติยภูมิ(Secondary Metabolites) ประจวบเหมาะที่สารทุติยภูมิเหล่านี้(ที่ถูกควรเรียกเป็นสารประกอบเคมี)ถือเป็นสารอาหารทางพืช คือสารที่มีคุณค่ามากที่สุดในใบชา และสามารถเรียกเป็นทองคำแห่งชา
        ส่วนต้นชาไร่แม้ก็ผ่านกระบวนการเหล่านี้ จากเมทาบอลิซึมปฐมภูมิถึงเมทาบอลิซึมทุติยภูมิ และก็มีสารอาหารทางพืช แต่เนื่องจากลำต้นเตี้ยเกินไป ปริมาณสะสมของเอนไซม์จากแหล่งภายในมีน้อยมาก “ทรัพยากร”และพื้นที่ของการสังเคราะห์และการย่อยสลายถูกบีบอัดจำกัด คุณภาพของใบชาจึงต่ำกว่าของต้นชาโบราณและต้นชาไม้ใหญ่อย่างเด่นชัด เมื่อพวกเรานำชาต้นโบราณและชาไร่ที่มาจากพื้นที่เดียวกันเก็บในสภาวะแวดล้อมที่เหมือนกันหลัง10ปี ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกทางรสชาติจากการชิมลองหรือเป็นการตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมีเปรียบเทียบ ความแตกต่างของคุณภาพจะเห็นได้เด่นชัดมาก


        3. ความแตกต่างระหว่างธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้กับจำเป็นต้องใช้เคมีเกษตรและปุ๋ยเคมีเคมี

        “ชุมชนเผ่าพันธุ์”ของต้นชาไม้ต้นใหญ่ล้วนมีลักษณะเฉพาะทางความหลากหลายของชีวภาพ สวนชาโบราณในเขตพื้นที่ชาอวิ๋นหนานที่เหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ จากการสำรวจอย่างละเอียด จะพบเห็นว่าแต่ละสวนชาโบราณล้วนมีระบบนิเวศที่เฉพาะเจาะจง และสภาวะแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงนี้ก็ก่อให้เกิดระบบนิเวศแบบวัฏจักรขนาดเล็กโดยธรรมชาติ ในท่ามกลาง“ชุมชน”ของดอกไม้-นก-แมลง-จุลินทรีย์ ก่อให้เกิดห่วงโซ่ชีวภาพตามธรรมชาติ 
        ใบไม้ที่หล่นจากต้นปกคลุมผิวดินหนาเป็นชั้นๆ จุลินทรีย์ต้องทำงานแบบ“ร้านสะดวกซื้อ7-11” ย่อยสลายใบไม้แปรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อโรคพืชจากแมลง เกิดการระบาด ระบบนิเวศแบบวัฏจักรขนาดเล็กนี้ ก็จะรีบเคลื่อนพลระบบภูมิคุ้มกันโรคของมันที่อยู่ภายในเพื่อร่วม“ต่อต้านข้าศึก” เพื่อที่จะรักษาไม้ต้นให้ดำรงอยู่ได้อย่างสุดความสารมารถ ให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ สวนชาโบราณจึงไม่ต้องอาศัยเคมีเกษตร ยิ่งไม่ต้องการใช้ปุ๋ยเคมี มันถือเป็นพืชพรรณคลาสสิคที่“อาศัยธรรมชาติหากิน(靠天吃饭)”
        ปีไหนดี ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ต้นชาไม้ต้นใหญ่ก็ให้ผลผลิตสูง ปีไหนแย่ ก็เพียงแค่ผลผลิตลดต่ำลง แต่ต้นชาไร่จำต้องอาศัยเคมีเกษตรและปุ๋ยเคมีมาคุ้มครองตลอดเวลา เนื่องจากต้นชาไร่ปกคลุมด้วยดินในพื้นที่อันคับแคบ ได้รับแร่ธาตุอาหารในดินอย่างจำกัด แหล่งของแร่ธาตุอาหารส่วนหนึ่งจำต้องมาจากปุ๋ยเคมี ขณะเดียวกัน ในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโต ก็จำเป็นต้องอาศัยเคมีเกษตรมา“ปกป้อง” ถ้าปราศจากเคมีเกษตรและปุ๋ยเคมีแล้ว สิ่งที่ต้องเผชิญไม่ใช่ปัญหาผลผลิตตกต่ำ แต่คือการเหี่ยวเฉาและตายไป ดังนั้น ต้นชาไร่ต้องใช้เคมีเกษตรตลอดเพื่อที่จะ“วิ่งแข่ง”กับโรคพืชจากแมลง ต้องปรับยกสถานะตลอดเวลา 
        กระบวนการเช่นนี้ ก็คือกระบวนการของดินที่เกิดกลไกการเสื่อมถอย มลภาวะของดินก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น ยิ่งภาวะในปัจจุบันนี้ พืช อากาศ เกิดมลภาวะยิ่งหนักมากขึ้น ธาตุโลหะหนักบนชั้นผิวดินมีปริมาณเกินค่ามาตรฐานทั่วไป ก่อให้ต้นชาที่มีระบบรากตื้นเกิดมลภาวะที่รุนแรง ต้นชาโบราณและต้นชาไม้ต้นใหญ่อันเนื่องจากต้นสูงรากลึก ระบบรากอยู่ลึกลงในชั้นดินที่ไม่เกิดมลถาวะ เมื่อจากการเปรียบเทียบแล้วจึงมีมลพิษที่น้อยกว่า ดังนั้น จากที่พวกเราทำการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ชาจะพบปรากฏการณ์ที่ธาตุโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมลภาวะของดิน... 



แปล-เรียบเรียง จากบทความ 《ปริศนาแห่งต้นชาโบราณ》 ตอนที่ 2---เขียนโดย เฉินเจี๋ย
http://www.wtoutiao.com/a/3091189.html

“ปริศนาแห่งต้นชาโบราณ (1)
ปริศนาแห่งต้นชาโบราณ (3)

โพสต์นี้เผยแพร่เมื่อวันที่ 03 ม.ค. 2559 ลงในเฟสเพจสมาคมผู้รักชาผูเอ่อร์แห่งประเทศไทย 
https://www.facebook.com/groups/1465523990337272/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น